20 มี.ค. เวลา 14:47 • หุ้น & เศรษฐกิจ

💥 ยุคบูม AI จุดประกายการผูกขาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ตั้งแต่การมาถึงของ ChatGPT บริษัท Nvidia และพันธมิตรหลักอย่าง SK Hynix, TSMC และ ASML ก็ครอบครองตลาดชิป AI ไว้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่คำถามสำคัญคือพวกเขาจะสามารถยืนหยัดบนจุดสูงสุดนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน?
3
ทุกครั้งที่ผู้ใช้งานป้อนคำถามลงใน ChatGPT หรือแชตบอต AI ตัวอื่นๆ อาจไม่ได้ตระหนักว่าเบื้องหลังนั้นคือ การเพิ่มความมั่งคั่งให้กับบริษัทไม่กี่รายที่มีอำนาจเหนืออุตสาหกรรมนี้
2
ในปัจจุบัน Nvidia ครองตลาดชิปประมวลผล AI ถึง 92% โดยอาศัยพันธมิตรสำคัญอีกสามรายในการผลิตชิ้นส่วนที่จำเป็น ได้แก่ SK Hynix จากเกาหลีใต้ที่ผลิตหน่วยความจำความเร็วสูง (HBM), TSMC จากไต้หวันที่ผลิตชิปตามแบบที่ Nvidia ออกแบบไว้ และ ASML จากเนเธอร์แลนด์ ผู้ผลิตเครื่อง EUV เพียงรายเดียวที่สามารถผลิตเครื่องจักรสำคัญที่ใช้ในกระบวนการผลิตชิปขั้นสูง
ปกติแล้ว เมื่อบริษัทมีอำนาจในตลาดขนาดนี้ หน่วยงานที่ดูแลด้านการแข่งขันทางการค้าจะจับตามองและอาจดำเนินการแทรกแซง แต่สำหรับตลาดเทคโนโลยีนั้น การผูกขาดในระดับนี้ถือเป็นเรื่องปกติในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีขนานใหญ่
โดยบริษัทที่ก้าวขึ้นมาครองตลาดได้ส่วนใหญ่มักเกิดจากนวัตกรรมที่เหนือกว่าคู่แข่ง ไม่ใช่จากการใช้อำนาจในทางมิชอบหรือการแทรกแซงของภาครัฐ
เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับตลาดเมนเฟรม พีซี เว็บเบราว์เซอร์ เสิร์ชเอนจิน โซเชียลมีเดีย และระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนมาแล้ว
ความสำเร็จอย่างรวดเร็วของ Nvidia และพันธมิตรส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของบริษัทกลุ่มนี้สูงเกิน 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดย Nvidia เองมีมูลค่าสูงถึง 6% ของดัชนี S&P500 ขณะที่ TSMC และ ASML ก็ขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศของตนเองเช่นกัน ซึ่งมูลค่ามหาศาลเหล่านี้มาจากสมมติฐานที่ว่าตลาด AI จะเติบโตต่อเนื่องอีกหลายปี
1
อย่างไรก็ตาม ตลาด AI ก็มีความผันผวนสูงและมีความเสี่ยงที่การแข่งขันจะทวีความเข้มข้นขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Amazon, Google และ Meta ต่างก็เริ่มพัฒนาชิป AI ของตนเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia รวมถึงบริษัทสตาร์ทอัพหลายรายที่ทุ่มเงินจำนวนมากในการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจเทียบชั้นกับ Nvidia ในอนาคต เช่น
1
สตาร์ทอัพรายใหม่ที่มีชื่อเสียง เช่น DeepSeek จากประเทศจีน ที่ประกาศว่าสามารถพัฒนาโมเดล AI ขั้นสูงได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก โดยใช้ชิปของ Nvidia รุ่นเก่าและวิธีการปรับแต่งซอฟต์แวร์ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
บริษัท Cerebras Systems ที่พัฒนาชิป AI ขนาดใหญ่ที่สามารถประมวลผลข้อมูลปริมาณมากในเวลาอันสั้น รวมไปถึง Graphcore จากอังกฤษที่กำลังพัฒนาชิป IPU (Intelligence Processing Unit) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการใช้งาน AI
และบริษัท Tenstorrent จากแคนาดาที่มีการพัฒนาชิปประสิทธิภาพสูงโดยเน้นเรื่องความประหยัดพลังงาน
ที่ผ่านมา Nvidia ประสบความสำเร็จในการครองตลาดเพราะ GPU ของบริษัทที่เดิมใช้สำหรับเกมถูกค้นพบว่าเหมาะสำหรับการทำ Deep Learning ซึ่งกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการพัฒนา AI สมัยใหม่
นอกจากนี้ บริษัทยังสร้างระบบนิเวศของตัวเองผ่านภาษาโปรแกรม CUDA ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักพัฒนา AI จำนวนมากจนคู่แข่งอื่นๆ แทบไม่สามารถเจาะตลาดได้
ขณะที่ในด้านการผลิต Nvidia ไม่มีโรงงานผลิตเอง จึงต้องพึ่ง TSMC ในการผลิตชิป และต้องพึ่ง SK Hynix ในการผลิตหน่วยความจำที่มีประสิทธิภาพสูง ส่วนด้าน TSMC เองก็จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่อง EUV จาก ASML ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่สามารถผลิตเครื่องจักรสำคัญนี้ได้ จึงทำให้ทั้งสี่บริษัทต่างต้องพึ่งพากันจนแทบไม่มีคู่แข่งที่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ง่าย
1
แม้ Nvidia จะมีการตั้งราคาสินค้าที่สูงมากและมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงเกิน 70% แต่ยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีการใช้อำนาจผูกขาดในทางที่ผิด จนถึงขณะนี้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังคงเพียงสอบสวนเบื้องต้นเกี่ยวกับแนวทางการทำธุรกิจของ Nvidia และพันธมิตร แต่ยังไม่มีข้อกล่าวหาใดที่นำไปสู่การดำเนินคดีจริง
แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการครองตลาดของบริษัทเทคโนโลยีนั้นแม้จะสามารถกินเวลาได้ยาวนาน แต่ก็ไม่ได้จีรังยั่งยืนเสมอไป ตัวอย่างเช่น บริษัท IBM ที่เคยเป็นผู้นำตลาดคอมพิวเตอร์เมนเฟรมและมีอำนาจเหนืออุตสาหกรรมมาเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับการมาถึงของพีซีและไมโครซอฟท์
รวมถึงบริษัทอย่าง Nokia และ BlackBerry ที่เคยครองตลาดโทรศัพท์มือถือแต่กลับถูกแซงหน้าอย่างรวดเร็วโดย Apple และ Android
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคู่แข่งรายใหม่ๆ และนวัตกรรมที่คาดไม่ถึงอาจทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และด้วยความเร็วของตลาด AI ในปัจจุบัน ทุกฝ่ายจึงต้องจับตามองการแข่งขันที่อาจร้อนแรงขึ้นในอนาคตอย่างใกล้ชิดค่ะ
Source: Bloomberg
โฆษณา