Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
MONEY LAB
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
21 มี.ค. เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
อธิบาย นโยบายซื้อหนี้ ออกจากธนาคาร ผ่านเคสการยืมเงินเพื่อน
ประเด็นร้อนทางเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่อดีตนายกฯ คุณทักษิณ ชินวัตร พูดถึงแนวคิด ที่จะให้เอกชนรับซื้อหนี้ของประชาชนทั้งหมด ออกจากธนาคาร
1
แล้วให้ประชาชนค่อย ๆ ผ่อนหนี้ ไม่ต้องชำระหนี้เต็มจำนวนก็ได้ แล้วลบประวัติออกจากเครดิตบูโรทั้งหมด ให้ประชาชนเริ่มต้นชีวิตใหม่
หลายคนน่าจะมีคำถามตามมามากมายในหัวว่า การทำแบบนี้ เอกชนที่มารับซื้อหนี้ได้ประโยชน์อะไร ? แล้วนโยบายนี้จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้มากแค่ไหน ?
MONEY LAB จะขออธิบายนโยบายรับซื้อหนี้ ผ่านเคสการยืมเงินเพื่อน ให้ทุกคนเข้าใจง่าย ๆ กัน
เราจะเริ่มต้นกันที่เรื่องราวของคุณบิต ที่พ่อแม่ของเขาป่วยหนัก และต้องการยืมเงินจากเพื่อนของเขาที่ชื่อว่าคุณแบงค์ ประมาณ 500,000 บาท เพื่อมาใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล
เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี คุณแบงค์ได้พยายามติดตามทวงหนี้กับคุณบิตมาตลอด แต่คุณบิตก็หาวิธีการบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมคืนเงินคุณแบงค์ได้ตลอด
ฝ่ายคุณแบงค์ ก็รู้สึกเหนื่อยล้ากับการทวงหนี้ แต่ก็ไม่อยากสูญเสียเงิน 500,000 บาทไป แบบไม่ได้อะไรกลับมาเลย
จึงมีความคิดที่จะขายหนี้ให้กับเพื่อนอีกคนที่ชื่อว่า คุณแอม แต่คุณแอม ก็จะต้องรับหน้าที่ไปทวงหนี้จากคุณบิต แทนคุณแบงค์
เพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่จะถูกผิดนัดชำระหนี้ คุณแอมจึงเจรจาขอซื้อหนี้ต่อจากคุณแบงค์ในราคา 50% ของมูลหนี้เดิม
1
เมื่อคุณแบงค์ตกลง คุณแอมเลยจ่ายเงินจำนวน 250,000 บาท ให้คุณแบงค์ เพื่อแลกกับหนี้ของคุณบิต
1
ซึ่งหากคุณแอม ไปทวงหนี้คุณบิตให้จ่ายเงินเต็มจำนวนทั้ง 500,000 บาท คุณบิตก็คงไม่มีเงินเพียงพอที่จะชำระหนี้ แล้วคุณแอมก็คงไม่สามารถเก็บหนี้ได้เหมือนกับคุณแบงค์
อย่างไรก็ตามคุณแอม มีต้นทุนสำหรับการซื้อหนี้ของคุณบิตอยู่ที่ 250,000 บาท
1
ดังนั้นคุณแอม จึงเข้าเจรจาลดหนี้กับคุณบิต โดยยอมลดหนี้ให้คุณบิตจ่ายเงินเพียงแค่ 300,000 บาท จากเดิม 500,000 บาท
1
แล้วยืดระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ให้นานขึ้นแทน ทำให้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งก้อนในครั้งเดียว
1
เมื่อคุณบิตเห็นว่าตัวเองทั้งได้จ่ายหนี้น้อยลง และมีเวลาผ่อนชำระหนี้สินได้ยาวนานขึ้น คุณบิตจึงตกลงทยอยชำระหนี้กับคุณแอมได้สำเร็จ
2
สรุปสุดท้ายแล้ว คุณแบงค์ผู้เป็นเจ้าหนี้รายแรกก็ได้ประโยชน์ จากการได้รับเงินสดกลับมา 250,000 บาท จากการตัดขายหนี้ต่อให้คุณแอม
จากเดิมที่เรียกเก็บหนี้ไม่ได้เลย และต้องไปเหนื่อยกับการทวงหนี้ แต่ตอนนี้ได้รับเงินสดกลับคืนมาแล้วครึ่งหนึ่ง
คุณบิตผู้เป็นลูกหนี้ ก็ได้ประโยชน์เพราะจ่ายหนี้น้อยลง จากเดิมที่ต้องจ่าย 500,000 บาท ก็เหลือแค่ 300,000 บาท
ส่วนคุณแอมผู้ซื้อหนี้ต่อ ก็ได้ประโยชน์เพราะได้กำไรจากการทวงหนี้ เพราะถ้าคุณแอม สามารถทำให้คุณบิตจ่ายหนี้ได้ครบจำนวน 300,000 บาท ที่ตกลงกันไว้
จากต้นทุนของหนี้ที่ซื้อมาอยู่ที่ 250,000 บาท คุณแอมจะได้กำไรถึง 20% เลยทีเดียว
กลับมาที่นโยบายการซื้อหนี้ ที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันอยู่ตอนนี้
1
ประชาชนที่กำลังมีหนี้ครัวเรือนท่วมตัวอยู่ตอนนี้ ก็เปรียบเสมือนคุณบิต ที่ไปยืมเงินคุณแบงค์
ผู้ที่เปรียบได้เหมือนกับ ธนาคารพาณิชย์ที่ตอนนี้กำลังอมหนี้เสียอยู่ และตามทวงหนี้ไม่ได้
ส่วนคนที่มารับซื้อหนี้ต่อจากธนาคารพาณิชย์ ก็คือธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งเปรียบเสมือนคุณแอมที่มารับซื้อหนี้ต่อจากคุณแบงค์ ในเรื่องราวของเรานั่นเอง
โดยนโยบายนี้ เคยถูกนำมาใช้ในไทยมาแล้ว หลังเจอวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540
2
ในตอนนั้นรัฐบาลของคุณทักษิณ มีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย หรือ บสท. เพื่อมารับซื้อหนี้ของธุรกิจเอกชน ที่ค้างเป็นหนี้เสียอยู่ในธนาคารพาณิชย์ของไทย
เป้าหมายของการทำนโยบายนี้ในสมัยนั้น ก็คือ การรักษาธุรกิจให้อยู่รอด ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ และเป็นการดึงหนี้เสียออกจากระบบธนาคารพาณิชย์
ซึ่งก็ต้องบอกว่า บสท. ทำภารกิจปรับโครงสร้างหนี้ได้สำเร็จ สะท้อนจากอัตราการรับชำระหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 48.9% ของมูลค่าหนี้ทั้งหมด มากกว่าต้นทุนที่ บสท. รับโอนหนี้จากธนาคารที่ 34.3% ของมูลค่าหนี้ทั้งหมด
ปัจจุบันบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ถูกยุบเลิกกิจการไปแล้ว แต่บริษัทที่ทำธุรกิจบริหารสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ยังคงอยู่ในปัจจุบัน
3
อย่างในตลาดหุ้นไทยเอง ก็มีอยู่หลายบริษัท เช่น
- บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM
- บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT
- บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO
4
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของธุรกิจ AMC ก็คือ การที่ไม่สามารถเก็บหนี้สินได้ตามที่คาดหวังไว้ ซึ่งจะส่งผลให้ขาดทุนได้ แม้ธุรกิจประเภทนี้มักจะรับซื้อหนี้ในราคาต่ำอยู่แล้วก็ตาม
อีกทั้งต้นทุนทางการเงิน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ธุรกิจเหล่านี้ให้ความสำคัญ เพราะบริษัทเหล่านี้มักจะออกหุ้นกู้ เพื่อระดมทุนในการซื้อหนี้มาบริหาร
ทำให้ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูง และสภาพเศรษฐกิจกำลังอ่อนแอ บริษัทเหล่านี้ก็อาจลังเลที่จะเข้ามารับซื้อหนี้ต่อจากธนาคาร
2
และการแก้ปัญหาด้วยนโยบายรับซื้อหนี้แบบนี้ ก็อาจไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน เพราะหากเรายอมปรับโครงสร้างหนี้ ให้ลูกหนี้จ่ายเงินต้นน้อยลง ก็อาจจะทำให้ลูกหนี้เสียวินัยทางการเงินได้
เรื่องนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากเหตุการณ์สมมติที่ยกตัวอย่างมาตอนแรก ว่าถ้าหากคุณบิตได้รับการผ่อนปรนให้จ่ายหนี้น้อยลงเรื่อย ๆ แถมประวัติการก่อหนี้เสียก็ถูกลบออกจากระบบ
คุณบิตผู้ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรแล้ว ก็สามารถยืมเงินมาจากคุณแบงค์ได้ตลอด และบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายหนี้เหมือนเคย
จากนั้นก็ปล่อยให้คุณแบงค์เลือกที่จะเจ็บแต่จบ ด้วยการยอมขายหนี้เสียในราคาขาดทุนไปเรื่อย ๆ
1
ส่วนคนที่จะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์วนลูปแบบนี้ ก็คงมีแต่ลูกหนี้อย่างคุณบิต ที่ได้ชดใช้หนี้น้อยลง
2
และคุณแอม ที่ทำกำไรได้จากการรับซื้อหนี้ในราคาต่ำ ๆ มาจากคุณแบงค์ ผู้ปล่อยกู้ตัวจริง..
2
#เศรษฐกิจ
#เศรษฐศาสตร์
#ซื้อหนี้
References
-
https://thestandard.co/thaksin-against-party-dissolution-debt-solution/
-
https://www.thansettakij.com/columnist/talk-hack/622314
-
https://www.ddproperty.com/คู่มือซื้อขาย/npl-คืออะไร-53240
-
https://www.efinancethai.com/efinReview/efinReviewMain.aspx?release=y&name=er_202206271721
การเงิน
ธุรกิจ
เศรษฐกิจ
64 บันทึก
98
8
73
64
98
8
73
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย