21 มี.ค. เวลา 01:05 • ท่องเที่ยว

Egypt (03).. พิธีกรรม ความเชื่อ และขั้นตอนการทำมัมมี่ แห่งอียิปต์โบราณ

อียิปต์ไม่ใช่ชาติแรกที่ทำมัมมี่ แต่การทำมัมมี่มีอยู่ในวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายของหลายดินแดน ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในดินแดนลุ่มน้ำไนล์
ชาวไอยคุปต์ ได้ชื่อว่าเป็นชาติที่มีการพัฒนาวิทยาการเกี่ยวกับการทำมัมมี่มาตลอดเกือบ 3,000 ปี คือในช่วง 2800 ปีก่อนคริสตกาล จนมาถึง ปี ค.ศ. 640 การทำมัมมี่จึงสิ้นสุดลงพร้อมกับการล่มสลายของอาณาจักรอียิปต์หลังถูกชาวอาหรับเข้ามายึดครอง
เชื่อกันว่า ความสำเร็จในการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์โบราณนั้น นอกจากจะดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพระมาจากวิหารต่างๆแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือภูมิประเทศของอียิปต์ที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตทะเลทรายที่แห้งแล้งมาก ซึ่งทำให้เกือบจะไม่มีแบคทีเรียในอากาศและทรายเลย เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก
มัมมี่วัฒนธรรมที่บ่งชี้ความรุ่งเรืองด้านการแพทย์
ราว 450 ปี ก่อนคริสตกาล มีหลักฐานบันทึกโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกชื่อ เฮโรโดตุส เขียนเล่าวิธีการทำมัมมี่ของชาวอียิปต์ ที่ถือได้ว่าเป็นยุคท้ายๆ ของความนิยมในการทำมัมมี่ อีกทั้งด้านพัฒนาการเทคนิคต่างๆ ก็ผ่านพ้นยุครุ่งเรืองมาแล้ว
จากบันทึกของเฮโรโดตุส กล่าวว่า ขั้นตอนการทำมัมมี่ ใช้เวลาทั้งหมด 70 วัน และการทำมัมมี่ก็มีถึง 3 แบบ 3 ราคา โดยมัมมี่ที่ดีที่สุด และมีราคาในการทำแพงที่สุดจะใช้เทคนิคการดูดเอาสมองคนตายออกมาทางรูจมูก โดยใช้เหล็กแหลมๆแยงเข้าไปผ่านรูจมูก กวนให้สมองเป็นของเหลวและปล่อยให้ไหลออกมา หลังจากนั้นจะใส่จะใส่ส่วนผมที่มีมันดิน (Bitumen)เป็นหลัก ซึ่งเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว
ดวงตา .. ถูกแทนที่ด้วยหินสี
Photo : Internet
หลังจากนั้นจะใช้มีดที่ทำจากหินเหล็กไฟ กรีดข้างลำตัวเพื่อควักอวัยวะภายในออกมา เหลือไว้แค่ก้อนเนื้อที่เป็นหัวใจ (คนอียิปต์เชื่อว่าหัวใจสำคัญ เพราะตอน judgement of the dead หัวใจจะถูกนำมาชั่งเทียบกับขนนก เปรียบเทียบความดีความชั่ว) และจากนั้นจึงชำระช่องท้องให้สะอาดด้วยเหล้าไวน์ที่หมักจากปาล์ม ก่อนนำร่างไปตากแห้ง
Photo : Internet
เมื่อครั้งทักษะการทำมัมมี่อยู่ในยุครุ่งเรือง มัมมี่ที่ดีจะต้องมีวัสดุประเภทขี้เลื่อย โคลน และผ้าลินิน ยัดเข้าไปแทนที่อวัยวะภายในที่ถูกดูดออก
การทำมัมมี่ยุคนั้นละเอียดประณีตถึงขั้นที่มีการกรีดผิวหนังเป็นร่องเล็กๆ และยัดวัสดุดังกล่าวไว้ใต้ผิวหนังด้วย
ส่วนมัมมี่แบบราคากลางย่อมเยา จะไม่มีการควักอวัยวะภายในออก แต่ใช้น้ำมันสนซีดาร์ ฉีดเข้าไปในร่างก่อนตากแห้ง และมัมมี่ราคาถูกที่สุดก็มีวิธีการแค่นำร่างไปตากให้แห้ง
กระบวนการก่อนนำศพไปตากแห้ง
สำหรับร่างที่เตรียมนำไปตากแห้งจะต้องมีการโรยสาร เนตรอน (Natron) ซึ่งเป็นสารประกอบประเภทเกลือจากธรรมชาติ (Natural Sodium Carbonate) .. เนตรอนทำหน้าที่เป็นตัวช่วยดูดซึมน้ำ ไขมัน และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
แต่บางข้อมูลก็กล่าวว่ามีการหมักร่างผู้ตายไว้ใต้กองสารเนตรอนไม่ใช่แค่โรยสารเนตรอนลงไปบนร่างเฉยๆ และหลังจากโรยหรือหมักสารเนตรอนแล้ว จึงเข้าสู่การนำร่างไปทาน้ำมัน ตกแต่งและเข้าสู่ขั้นตอนพันผ้าห่อร่าง และนำไปตากแห้งโดยใช้เวลาราว 40 วัน
จารึกประวัติศาสตร์บนผ้าพันร่างมัมมี่
การห่อศพจะเริ่มจากนิ้วแต่ละนิ้ว มือ แขน เท้า ขา และทำต่อๆไปจนครบทั้งร่าง .. ส่วนของศีรษะนั้นจะต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ จะใช้ผ้าลินินในส่วนที่สัมผัสกับร่าง การห่อพันร่างของมัมมี่จะทำหลายทบหลายชั้น จนขนาดที่ว่า หากนำผ้าที่ห่อออกไปหมดแล้ว จะยังคงรูปร่างของผู้วายชนม์อย่างครบถ้วน
มัมมี่ 1 ร่างจะใช้ผ้าความยาว 100 เมตรในการพัน
.. ผ้าที่ได้รับความนิยมได้แก่ ผ้าลินิน นำไปชุบน้ำยางเหนียวเรซิน เพื่อให้การห่อผ้าแนบชิดสนิทติดกับร่างอย่างเรียบแน่น ผ้าพันศพชั้นนอกสุดเป็นผ้าที่ถูกชโลมด้วยขี้ผึ้ง และใช้วุ้นหรือเจลาตินเป็นตัวยึดผ้าให้ติดกันอย่างแนบสนิทอีกครั้ง
ที่สำคัญคือผ้าลินินห่อร่างมักซื้อมาจากวิหารเทพเจ้า ตามความเชื่อที่ว่าเป็น ผ้าศักดิ์สิทธิ์ ช่วยปกป้องคุ้มครองให้ร่างที่กลายเป็นมัมมี่นั้นได้หลับใหลอย่างสงบ ปราศจากสิ่งชั่วร้ายมารบกวน
นอกจากชนิดของผ้าแล้ว อีกขั้นตอนที่สำคัญคือการนับจำนวนรอบของการพันผ้า ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ เลข 7 ถือเป็นเลขมงคลดังนั้นจำนวนรอบของการพันผ้ามัมมี่ 1 ร่างต้องนับให้ได้ 7 รอบ โดยแต่ละรอบจะมีการวางเครื่องรางเล็กๆ แนบไว้กับร่างด้วย
มัมมี่จะถูกนำไปนอนหงายในท่าที่สองมือเหยียดตรงไขว้ไว้บนอก แล้วจึงพันผ้าอีกครั้งตามความยาวของลำตัว ก่อนจะนำไปวางในหีบศพในสุสานพร้อมข้าวของเครื่องใช้และสมบัติเพื่อรอการกลับมาของวิญญาณ
นอกจากนี้ยังต้องมีการเขียนจารึกที่ขอบผ้าพันศพ เปรียบเสมือนการบันทึกประวัติศาสตร์ ในการจารึกต้องระบุสอง สิ่งสำคัญ คือ การระบุว่าเจ้าของผ้าเป็นของผู้ตายเองหรือของญาติมิตร และระบุแหล่งที่มาของผ้าผืนนั้นไว้ที่ขอบผ้าพันศพชั้นนอกสุด หลังเสร็จสิ้นการพัน 7 รอบแล้ว
ระหว่างที่พันก็จะมีการใส่เครื่องประดับ amulet ไปด้วยระหว่างพัน โดยเฉพาะเขาจะมีมนตร์กำกับไม่ให้หัวใจทรยศเจ้าของอีกด้วย โดยใส่ amulet รูป scarub ไว้ตรงหัวใจด้วย มีความหมายถึง resurrection protection จึงเป็นเหตุให้ มัมมี่โดนรื้อผ้าลินิน ปล้นเอาเครื่องประดับพวกนี้ไปด้วย
อนึ่ง Scarub เป็นแมลงที่จะเอาขี้อูฐมาปั้นเป็นก้อนกลมๆโดยใช้ขาหลัง แล้ววางไข่ลงในนั้น แล้วก็จะออกลูกมาในตอนเช้า ถือว่า reborn มาพร้อมกับ รา
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 (ค.ศ.1400-1500) ชาวยุโรป ได้นำผ้าห่อศพมัมมี่มาขาย ในราคา 8 ชิลลิ่ง (ค่าเงินสมัยนั้น) ต่อผ้าห่อมัมมี่ 1ปอนด์ เพราะคนยุโรปคิดว่า ผ้าห่อศพมัมมี่ช่วยรักษาอาการอาเจียน และรักษาบาดแผลได้ .. ไม่เพียงเท่านั้นในสมัยศตวรรษที่ 20 ชาวอียิปต์ยังใช้ผ้าห่อศพจากมัมมี่ มามุงหลังคาบ้านแทนใบจากอีกด้วย
หน้ากากมัมมี่ หีบ และโลง
หลังจากที่เตรียมร่างเสร็จเรียบร้อย ขั้นต่อไปคือใส่ หน้ากากมัมมี่ (death mask) เพื่อปกปิดส่วนใบหน้าและอกของร่างมัมมี่ที่ถูกพันผ้าเรียบร้อยแล้ว โดยหน้ากากส่วนใหญ่ทำจากผ้าลินินพอกด้วยปูนปลาสเตอร์ ปิดทอง และฝังวัสดุประดับตามแต่ฐานะของผู้ตาย มีการวาดเป็นตาและคิ้วให้สวยงามประหนึ่งร่างนั้นกำลังนอนหลับอย่างสงบ รอการฟื้นคืนจากโลกหลังความตาย
หน้ากากมัมมี่ .. ส่วนมากจะทำให้หน้าเหมือนผู้วายชนม์ เชื่อว่าจะช่วยปกป้อง วิญญาณจากสิ่งชั่วร้ายที่จะต้องพบตอนเดินทางใน underworld และช่วยให้ ka และ ba (วิญญาณ spirit) จำร่างของตัวเองได้ แล้วจึงนำใส่โลง
สำหรับหีบและโลงบรรจุมัมมี่ทำเป็นรูปตัวคน anthropoid coffin มีชื่อเขียนไว้ ในกรอบวงรีที่เรียกว่า Cartouche เวลา Ba และ Ka คือ spirit กลับมา จะได้จำได้และเข้าร่างถูก
Note : Thutmose lll พยายามทำลายชื่อ Hatshepsut เชื่อว่าส่วนหนึ่งก็เป็นความเชื่อเรื่องนี้ด้วย .. อนึ่งโลงศพ ของ Heretic Pharoah -Akhenaten ก็ชื่อก็ถูกทำลายด้วยเหตุผลนี้เช่นกัน
หีบและโลงบรรจุมัมมี่ มีการแบ่งลำดับตามชนชั้นเช่นกัน สำหรับศพของผู้มีฐานะดีจะใช้หีบและโลงซ้อนกันหลายชั้น เพื่อบรรจุร่างมัมมี่ ..ถ้าเป็นขุนนางหรือคนร่ำรวย ในยุค new kingdom ก็อาจนำใส่ โลงชั้นที่สอง anthropoid coffin ทีวาดเป็นรูปเจ้าของ และ โลงชั้นที่สาม ซึ่งตกแต่งน้อยกว่า
โลงบรรจุร่างมัมมี่นี้ทำจาก cartonage คือ ปาปิรัส กับลินิน ตามด้วย plaster จึงมีน้ำหนักเบา สามารถจะสร้างแบบให้เข้ากับรูปร่าง
.. และสามารถระบายสี เขียนลวดลายต่างๆได้ บนโลงมักมีรูปวาดเป็นรูปเทพเจ้าต่างๆ มีภาพปีก ของ เทพี เช่น Isis และ Nepthys กางปีกโอบเป็นการปกป้อง
.. ส่วนโลงชั้นในของชาวบ้านทั่วไปมักเป็นโลงไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีการแกะสลักฝาโลงเป็นรูปร่างของผู้ตาย ด้านหีบบรรจุโลงชั้นนอกสุดมักใช้วัสดุเป็นหิน
โลงสี่เหลี่ยมชั้นนอกสุด ซึ่งมักจะทำจาก Sycamore wood อาจจะมีรูปปั้น Jackal อยู่ เพราะ Anubis เป็น God of mummification, patron of embalmer, protector of cemetery
Photo : Internet
ถ้าเป็นโลงของฟาโรห์ โลงก็จะทำด้วยวัสดุล้ำค่าเช่น ทอง และก็จะมีหลายชั้นมากเช่น โลงบรรจุมัมมี่ของฟาร์โรห์ ตุตันคามุน ซึ่งเป็นโลง anthropoid 3 ชั้น sarcophagus โลงสี่เหลี่ยมอีกสามชั้น
โลงศพที่ทำให้คนทั้งโลกตื่นตะลึงมาแล้ว นั่นก็คือ โลงศพชั้นในของมัมมี่ ฟาโรห์ ตุตันคาเมน ที่ทำจากทองคำแท้
Photo : Internet
เมื่อเปิดโลงออกมาก็พบว่าหน้ากากมัมมี่ฟาโรห์ตุตันคาเมนก็เป็นทองคำแท้เช่นกัน
anthropoid coffin เริ่มมีในสมัย middle kingdom ก่อนหน้านั้น ในสมัย old kingdom ก็ยังเป็นโลงสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่
อย่างที่รู้กันว่ามัมมี่คือการรักษาร่าง ดังนั้นบนโลงศพจึงต้องมีการจารึกคาถาปกป้องดวงวิญญาณขณะเดินทางสู่ปรโลก และรอการฟื้นคืนจากโลกหลังความตาย
หลังจากทำมัมมี่เสร็จก็จะมีงานศพที่ Funerary temple แล้วจึงจะนำมัมมี่ไปสู่สุสานในขั้นตอนสุดท้าย
โถ เก็บอวัยวะภายใน
อวัยวะภายในจะถูกนำไปต้มในน้ำมันดิน อวัยวะภายในสำคัญของผู้ตาย ได้แก่ ตับ ลำไส้ ปอด และกระเพาะอาหาร จะถูกทำให้แห้ง แล้วห่อรวมกันไว้และเก็บรักษาไว้พร้อมร่าง .. โดยในยุคแรกๆ อวัยวะเหล่านี้จะถูกห่อผสมกับวัสดุขี้เลื่อย โคลน และผ้าลินิน จากนั้นยัดกลับไปในร่างที่ตากแห้งแล้ว ก่อนขั้นตอนการพันผ้าศพ
แต่บางยุคก็มีการนำอวัยวะภายในเหล่านั้นใส่ในโถคาโนปิก (Canopic) 4 ใบ ซึ่งนิยมใช้วัสดุเป็นหิน และวัสดุต่างๆตามฐานะทางสังคมของผู้ตาย แล้วจะนำโถไปวางข้างๆมัมมี่ของผู้นั้น .. สำหรับโถทั้งสี่นั้น จะมีฝาปิดเป็นรูปสัตว์ 4 ชนิด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เทพเจ้าที่จะทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองผู้ตาย
.. เศียรของบุตรแห่งฮอรัส ศีรษะเป็น เหยี่ยว falcon บาบูน baboon คน human และ jackal มีหน้าที่ปกปักรักษา เรียกว่า Four Sons of Horus แล้วเก็บอีกทีในหีบที่มีรูป อบูบิส หมาไนในท่าหมอบอยู่บนฝาหีบ
Photo : Internet
.. โถที่ฝาปิด เศียรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอก (Duamuttef) จะใส่กระเพาะ
.. โถที่ฝาปิด เศียรเป็นรูปลิงบาบูน (Hapi) จะใส่ปอด
.. โถที่ฝาปิด เศียรเป็นรูปเหยี่ยว (Qebesenuf) จะใส่ลำไส้
.. โถที่ฝา เศียรปิดเป็นมนุษย์ (Imset) จะใส่ตับ
ส่วนที่เป็นฟันที่ผุของผู้ตายจะถูกล้างด้วยด้วยไวน์จากต้นปาล์ม ทำให้แห้งด้วยผงหอมจากต้นพืช และอุดด้วยขี้เลื่อยหอม
ขอบคุณเนื้อความบางส่วนจาก : มัมมี่อียิปต์โบราณ โดย บรรยง บุญฤทธิ์
นิตยสาร สารคดี พฤษภาคม 2543 กันยายน 2531 พฤษภาคม 2529 และ เมษายน 2550
โฆษณา