22 มี.ค. เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“Lotus Arts de Vivre” จากงานอดิเรกแก้เหงา สู่แบรนด์หรูระดับโลกสัญชาติไทย

ทำความรู้จักแบรนด์หรูไทย “Lotus Arts de Vivre” กับผู้ก่อตั้งชาวเยอรมันที่ความเป็นไทยซึมลึกถึงจิตวิญญาณ
ท่ามกลางกระแสความพยายามในการส่งออกซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้มีอิทธิพลไปทั่วโลก แบรนด์หรูหนึ่งที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยและได้รับการยอมรับในระดับสากลมานานกว่า 40 ปีคือ “Lotus Arts de Vivre” (LAdV) หรือ “โลตัส อาร์ต เดอร์ วีฟว์”
Lotus Arts de Vivre เป็นผู้ผลิตงานศิลปะหรูที่สอดแทรกความเป็นไทยลงไปในผลงานทุกชิ้น ทั้งเครื่องประดับ กระเป๋า และของตกแต่งบ้าน ขณะที่คนไทยมักเรียกผลงานของแบรนด์สั้น ๆ ว่า “สร้อยโลตัส” “กระเป๋าโลตัส” ฯลฯ
รอล์ฟ ฟอน บูเรน ผู้ก่อตั้ง Lotus Arts de Vivre
แม้ Lotus Arts de Vivre จะถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทย แต่ผู้ก่อตั้งคือ “รอล์ฟ ฟอน บูเรน” ชาวเยอรมันที่มีความเป็นไทยซึมลึกถึงเส้นเลือดและจิตวิญญาณ
ที่คือเรื่องราวของแบรนด์หรูสัญชาติไทย ที่เกิดจากชาวต่างชาติผู้หลงใหลในความเป็นไทยชนิดถอนตัวไม่ขึ้น
รักแรกพบ
รอล์ฟ ฟอน บูเรน เป็นชาวเยอรมันโดยกำเนิด เกิดที่ประเทศเยอรมนีเมื่อปี 1940 และได้มีโอกาสเดินทางมาประเทศไทยในปี 1962 ขณะอายุ 22 ปี โดยขณะนั้นเขาเป็นตัวแทนของบริษัทเคมีแห่งหนึ่ง
รอล์ฟเคยเล่าว่า “ผมเติบโตมาในครอบครัวชาวเยอรมันที่เคร่งครัด มีกฎเกณฑ์มากมาย และไม่ค่อยมีความอดทน ดังนั้นเมื่อผมมาถึงประเทศไทยครั้งแรกในฐานะตัวแทนของบริษัทเคมีของเยอรมนี ผมจึงตกหลุมรักวัฒนธรรมและผู้คนในทันที”
เขาเสริมว่า “ผมคิดว่า คนเรามักจะชอบเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ กับสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคย และประเทศไทยก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเยอรมนั้อยู่ในช่วงหลังสงคราม ซึ่งไม่มีความสนุกสนานหรือเสียงหัวเราะในชีวิตของผู้คนเลย”
ผู้ก่อตั้ง Lotus Arts de Vivre ยังบอกว่า ในวัยเด็ก ตัวเขาซึ่งเติบโตมาในประเทศที่หนาวเหน็บ และแร้นแค้นเนื่องมาจากเพิ่งพ่ายแพ้สงครามโลก มีความฝันเล็ก ๆ ที่อยากจะเดินทางมาสัมผัสความอบอุ่นของทั้งสภาพอากาศและวัฒนธรรมในดินแดนโลกตะวันออก รวมถึงมีความสนใจเป็นพิเศษในรูปสลักเทพ 4 กรผู้มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีเศียรเป็นช้าง
เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย ความฝันในวัยเด็กหลาย ๆ อย่างของรอล์ฟกลายเป็นจริง ทั้งความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และศิลปะรูปสลักอันชวนหลงใหลที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
และเขาเริ่มมีความฝันที่ใหญ่ขึ้น...
รอล์ฟเริ่มเกิดคำถามว่า “ผมจะผสมผสานความเรียบง่ายแบบเยอรมันเข้ากับความมีเสน่ห์และจินตนาการแบบไทย ๆ ได้อย่างไร ผมจะนำความหนาวและร้อน ประเพณีแบบเยอรมันที่ประหยัด และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติแบบไทย ๆ มาผสมเข้าด้วยกันได้อย่างไร ผมจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างอาสนวิหารแบบโกธิกของเยอรมันกับวัดไทยที่มีสีสันและแวววาวได้อย่างไร”
ความรู้สึกที่ท่วมท้นนั้นทำให้เขาสนใจการสร้างสรรค์ของสะสมหรืองานศิลปะที่สะท้อนความเป็นไทย และถือกำเนิดเป็น Lotus Arts de Vivre ในปี 1982
“Lotus Arts de Vivre ถือกำเนิดขึ้นจากความรู้สึกมหัศจรรย์นี้ โดยใช้ประโยชน์จากวัสดุที่มีอยู่มากมายทางตะวันออกและประเทศไทย รวมถึงทักษะงานฝีมือของช่างไทย เพื่อสร้างสรรค์ความฝัน และเติมเต็มความปรารถนาของชาวเยอรมันและชาวตะวันตกที่หิวโหย ด้วยสิ่งของที่พวกเขารู้จักแต่จากหนังสือและภาพยนตร์เท่านั้น” รอล์ฟกล่าว
กระเป๋าถือศิลปาชีพลายช้าง ประดับด้วยทัวร์มาลีนสีชมพู และเพชร
การเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่เหมือนใคร
รอล์ฟตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย และก่อตั้ง Lotus Arts de Vivre ร่วมกับภรรยาชาวไทย-สกอตแลนด์ “เฮเลน ฟอน บูเรน” ซึ่งมีความหลงใหลในวัฒนธรรมไทยไม่ต่างกัน โดยในช่วงแรกพวกเขาทำสิ่งนี้เป็นเพียงงานอดิเรกเท่านั้น
สองสามีภรรยา ฟอน บูเรน เริ่มต้นจากการออกแบบข้าวของเครื่องใช้ง่าย ๆ ด้วยวัตถุดิบที่ไม่ค่อยมีใครคิดนำมาทำ เช่น กระเป๋าถือกระดองเต่า ไม้จิ้มฟันที่ทำจากงาช้างและทับทิม ต่างหูจากเปลือกหอยสังข์ เฟอร์นิเจอร์จากรากไม้ ฯลฯ ก่อนที่ต่อมาจะขยายไปสู่งานฝีมือดั้งเดิมของเอเชียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นงานแกะสลักหยกของจีน งานปักไหมไทย งานเคลือบญี่ปุ่น และงานบังกะรี (Bidri) ของอินเดีย
รอล์ฟเคยให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2022 ว่า “พวกเราอาจเป็นคนกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่ที่ทำงานกับการออกแบบและใช้วัสดุดังกล่าว มีหลายคนที่ทำบางอย่างแบบที่เราทำ แต่มีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่ทำแบบเรา เรามีพนักงาน 120 คน เป็นบริษัทใหญ่ที่มีสินค้าคงคลังจำนวนมากและสถานที่ผลิตขนาดใหญ่ ดังนั้นพวกเราอาจเป็นเพียงบริษัทเดียวเท่านั้น เราเคยมีคู่แข่งชาวอิตาลีอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาปิดกิจการไปหมดแล้ว”
รอล์ฟบอกว่า วัตถุดิบแต่ละชนิดมาพร้อมกับการเดินทางที่ไม่เหมือนใคร พร้อมอธิบายว่า เคล็ดลับความสำเร็จของแบรนด์คือการค้นหาช่างฝีมือที่เหมาะสมสำหรับวัตถุดิบแต่ละชนิด
เช่นในการสร้างสรรค์สินค้าจากมะพร้าว “เราพบว่า ช่างแกะสลักไม้ทั่วไปไม่สามารถแกะสลักมะพร้าวได้ เพราะมันแข็งเกินไป อย่างไรก็ตาม ช่างแกะสลักงาช้าง ซึ่งพวกเขาไม่มีอาชีพทำกินเพราะมีการห้ามใช้งาช้าง กลับมีทักษะในการทำเช่นนั้น”
นั่นทำให้ Lotus Arts de Vivre เป็นผู้ผลิตของสะสมและงานศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้ว่าจะมีประวัติยาวนานเพียง 40 กว่าปีก็ตาม โดยลูกค้ามีทั้งคนทั่วไปไปจนถึงชนชั้นสูง เซเลบริตีชื่อดัง และพระบรมวงศานุวงศ์ในหลายประเทศ
รอลฟ์กล่าวว่า “ผมรู้สึกว่า เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการสิ่งที่คนอื่นไม่มี ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร คุณก็อยากให้มันพิเศษ และนั่นก็รวมถึงผลิตภัณฑ์ของเราด้วย ดังนั้น ผมจึงเห็นความต้องการที่สูงอย่างมาก เพราะมีผู้คนหลายร้อยล้านคนที่ต้องการลงทุนในสินค้าฟุ่มเฟือยนี้ เรามีผลิตภัณฑ์ทุกประเภทที่ทำให้ทุกคนสามารถซื้อได้”
แวหนที่ทำจากเปลือกหอยเป๋าอ์้อ หนึ่งในวัตถุดิบที่ไม่เหมือนใคร
ไม่ได้ตั้งใจดัง
รอล์ฟบอกว่า Lotus Arts de Vivre เติบโตขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ได้เริ่มต้นจากการพยายามเป็นองค์กรเชิงพาณิชย์ แต่เป็นเพียงความสนุกสนานพวกเขาในการตามหาและทำงานร่วมกับปรมาจารย์ในท้องถิ่น และโน้มน้าวให้พวกเขาเปิดเผยอดีตเพื่อนำสิ่งเสนอใหม่ ๆ
“กลายเป็นว่า เราได้ช่วยสร้างอาชีพให้กับช่างฝีมือที่มีทักษะเหล่านี้ และฝ่ายเราเองยังได้รับการเติมเต็มจากพวกเขาด้วย สิ่งที่เราได้รับจากความร่วมมือนี้คือความตื่นเต้นและความสำเร็จ” ผู้ก่อตั้ง Lotus Arts de Vivre บอก
เขาบอกว่า เขาไม่เคยคาดคิดว่า ในช่วงที่แบรนด์เริ่มต้น จะได้รับเชิญเป็นดีไซเนอร์รับเชิญโดย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลไหมประจำปีที่จังหวัดสกลนคร หรือเข้าร่วมนิทรรศการผลงานชิ้นเอกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ
“เราประสบความสำเร็จทั่วโลก ... ที่สำคัญกว่านั้น ความสำเร็จนี้แพร่กระจายผ่านการบอกต่อแบบปากต่อปากเท่านั้น เนื่องจากเราไม่เคยโฆษณาเลย จริง ๆ แล้วเราเรียกตัวเองว่า ‘แบรนด์เงียบ’ ด้วยซ้ำ” รอล์ฟกล่าว
ปัจจุบัน Lotus Arts de Vivre มีร้านค้าตั้งอยู่ทั่วประเทศไทย และมีตัวแทนจำหน่ายในมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน อินเดีย ตุรกี รัสเซีย สหรัฐฯ และมัลดีฟส์ นอกจากนี้ แบรนด์ยังจัดงานนิทรรศการในระดับโลกอีกด้วย
กระเป๋ารูปไก่ของ Lotus Arts de Vivre
ส่งต่อความหลงใหล
ทุกวันนี้ Lotus Arts de Vivre อยู่ภายใต้การดูแลของทายาทรุ่นสองอย่าง “ศรี” และ “นิกกี้” ซึ่งได้สืบสานความหลงใหลในวัฒนธรรมไทยและโลกตะวันออกมาจากพ่อแม่เต็ม ๆ
นิกกี้ ลูกชายคนเล็ก เล่าว่า เขาและพี่ชายได้รับการปลูกฝังผ่านการเดินทางไปยังหลายพื้นที่ในเอเชีย “เราเดินทางไปอินโดนีเซีย อินเดีย และจุดหมายปลายทางอื่นๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียอยู่เสมอ แม้กระทั่งก่อนที่สถานที่เหล่านั้นจะได้รับความนิยม”
เขาเสริมว่า “แน่นอนว่าพ่อเป็นคนมีระเบียบวินัย แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดที่พ่อสอนเราคือ ความอยากรู้อยากเห็น พ่อเป็นคนช่างสงสัยและสนใจในศิลปะและวัฒนธรรมอยู่เสมอ และทำให้เราเรียนรู้และเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมอื่น ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการลองสิ่งใหม่ ๆ กินอาหารใหม่ ๆ เยี่ยมชมวัด... การเรียนรู้ทั้งหมดนั้นค่อนข้างน่าเบื่อเมื่อเราเป็นเด็ก แต่ทุกวันนี้ เรารู้แล้วว่าความอยากรู้อยากเห็นนี้เป็นรากฐานของการพัฒนาใหม่ ๆ ทั้งหมดของ Lotus Arts de Vivre”
นิกกี้ยังเล่าวา ความจริงแล้ว จุดเริ่มต้นของ Lotus Arts de Vivre นั้นค่อนข้างเรียบง่าย เพราะความจริงแล้วรอล์ฟก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เฮเลนมีงานอดิเรกทำแก้เหงาในขณะที่ศรีและนิกกี้ถูกส่งไปเรียนต่างประเทศเท่านั้น
“พ่อของผมสนับสนุนให้แม่เปิดร้านแห่งแรกโดยขายชิ้นงานที่ลูกค้าได้สั่งสมมาจากการเดินทาง แต่แม่ของผมไม่ใช่นักธุรกิจ และจะว่าไปแล้ว เธอไม่ได้อยากทำอาชีพนี้ด้วยซ้ำ” นิกกี้กล่าวติดตลก
นิกกี้ ฟอน บูเรน และ รอล์ฟ ฟอน บูเรน
ตัวของเขาเองนั้น ในตอนแรกยังไม่ได้เข้ามาทำงานใน Lotus Arts de Vivre แต่ไปเข้าร่วมองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีชื่อว่า PDA ซึ่งย่อมาจาก Population and Community Development Association ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจชาวไทยชื่อ มีชัย วีระไวทยะ “พ่อของผมคิดว่าการที่ผมออกไปทำงานนอกกรุงเทพฯ และดูว่าประเทศไทยเป็นอย่างไรด้วยสายตาตัวเองน่าจะเป็นความคิดที่ดี”
จากนั้นเขาก็ไปเรียนต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อกลับมา เขาเข้าทำงานในธนาคารของไทยและบริษัทรักษาความปลอดภัย นิกกี้บอกว่า ที่เขาเลือกอาชีพเหล่านี้เพราะเขาต้องการเข้าใจประเทศไทยให้ดีขึ้นผ่านมุมมองของนักการเงิน ในที่สุดเขาตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจของครอบครัวในปี 1998
“มีแบรนด์ไทยไม่กี่แบรนด์ในธุรกิจหรูหรา ซึ่งมันตลกดีนะ คนไทยส่วนใหญ่มักจะหันไปหาสินค้าตะวันตกทั้งที่หลายอย่างหาได้ในบ้านของพวกเขาเอง เช่น งานฝีมือและผลิตภัณฑ์จากความเชี่ยวชาญต่าง ๆ” ทายาทรุ่นสองกล่าว
เขาเสริมว่า “ในฐานะผู้ชื่นชมศิลปะมาอย่างยาวนาน ผมและครอบครัวมองว่างานของเราเป็นการนำเสนอประเพณีและความงามในรูปแบบร่วมสมัยผ่านมุมมองของเรา ปรัชญาของเราคือการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งทำจากงานฝีมือที่มีมายาวนานและนำมาปรับปรุงใหม่เป็นดีไซน์ที่ทันสมัย”
แก่นแท้ของ Lotus Arts de Vivre คือสร้างสรรค์งานศิลปะที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยการใช้วัตถุดิบล้ำค่าจากทั่วโลกอย่างพิถีพิถัน และการใช้กระบวนการทางศิลปะที่สืบทอดมาจากประเพณีเก่าแก่หลายศตวรรษจากทั่วโลก ด้วยการนำเอามรดกอันล้ำค่าของเอเชียและงานฝีมืออันประณีตของวัฒนธรรมตะวันตกมาใช้ Lotus Arts de Vivre จึงเป็นผู้บุกเบิกที่แท้จริงในด้านความหรูหราที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยืนหยัดมาได้ยาวนานกว่า 40 ปี
รอล์ฟกล่าวว่า “ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เราเป็นสะพานเชื่อมระหว่างตะวันออกและตะวันตก และผมคิดว่าเราจะยังคงเป็นสะพานเชื่อมจากอดีตสู่อนาคตต่อไป”
ประวัติธุรกิจ Lotus Arts de Vivre
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/wealth/trick-trend/245226
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา