22 มี.ค. เวลา 01:43 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศและการบินแห่งชาติ

เครื่องบิน แบบ MiG 3 ทำการรบอย่างไร

MiG-3 การใช้งานในสงครามและภารกิจสำคัญ
MiG-3 เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ ถูกใช้ในภารกิจการรบจริง โดยกองทัพอากาศโซเวียต (VVS) โดยเฉพาะในช่วงแรกของ ปฏิบัติการ Barbarossa (Operation Barbarossa) ปี 1941 ซึ่งเป็นการบุกโซเวียตของกองทัพนาซีเยอรมัน
1. บทบาทและภารกิจหลักของ MiG-3
แม้ว่า MiG-3 จะเป็นเครื่องบินที่ออกแบบมาสำหรับ ภารกิจขับไล่สกัดกั้นในระดับสูง (High-altitude Interceptor) แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ปะทุขึ้น กองทัพโซเวียตต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของมันให้หลากหลายขึ้น
(1) เครื่องบินขับไล่สกัดกั้น (Interceptor Fighter)
  • 1.
    ​ถูกใช้สกัดกั้น เครื่องบินทิ้งระเบิดของ Luftwaffe เช่น Heinkel He 111 และ Junkers Ju 88
  • 2.
    ​มีสมรรถนะดีที่ระดับความสูง 7,000-10,000 เมตร แต่ปัญหาคือการรบส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในระดับต่ำ ซึ่ง MiG-3 ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้มีความคล่องตัวในระดับนี้
(2) เครื่องบินสนับสนุนภาคพื้นดิน (Ground Attack)
  • 1.
    ​เนื่องจากโซเวียตสูญเสียเครื่องบินไปมากในช่วงต้นสงคราม MiG-3 บางส่วนถูกใช้โจมตีเป้าหมายภาคพื้นดิน
  • 2.
    ​สามารถติดตั้ง ระเบิดขนาด 100 กก. หรือจรวด RS-82 แต่สมรรถนะไม่ดีเท่ากับเครื่องบินที่ออกแบบมาเพื่อการโจมตีภาคพื้นดินโดยเฉพาะ เช่น IL-2 Sturmovik
(3) เครื่องบินลาดตระเวน (Reconnaissance)
  • 1.
    ​MiG-3 บางลำถูกใช้เป็นเครื่องบินลาดตระเวนทางอากาศ เนื่องจากสามารถบินได้สูงและเร็วกว่าเครื่องบินขับไล่แบบอื่นของโซเวียตในขณะนั้น
2. การรบและสมรรถนะเทียบกับเครื่องบินเยอรมัน
ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 MiG-3 ต้องเผชิญหน้ากับเครื่องบินขับไล่ของเยอรมนี เช่น Bf 109E และ Bf 109F ซึ่งทำให้เห็นข้อดีและข้อเสียของ MiG-3 ชัดเจน
ผลลัพธ์ในการรบ:
  • 1.
    ​ในระดับ สูงกว่า 7,000 เมตร MiG-3 มีความเร็วและสมรรถนะดีกว่า Bf 109E แต่ปัญหาคือการรบส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับต่ำ ซึ่ง Bf 109E/F มีความได้เปรียบมากกว่า
  • 2.
    ​นักบินโซเวียตจำนวนมาก ไม่ชอบ MiG-3 เพราะการควบคุมยากและการมองเห็นจากห้องนักบินค่อนข้างแย่
3. การรบสำคัญที่มี MiG-3 เข้าร่วม
(1) ปฏิบัติการ Barbarossa (1941)
  • 1.
    ​เมื่อเยอรมนีบุกโซเวียตในเดือนมิถุนายน 1941 MiG-3 ถูกใช้ในการสกัดกั้นฝูงบินทิ้งระเบิดของ Luftwaffe
  • 2.
    ​นักบิน MiG-3 หลายคน ขาดการฝึกบินที่เหมาะสม และเครื่องบินจำนวนมากถูกทำลายในสนามบินก่อนขึ้นบิน
  • 3.
    ​มีการใช้ MiG-3 ในการป้องกันมอสโกและเลนินกราดจากการโจมตีทางอากาศ
(2) ยุทธการป้องกันมอสโก (1941-1942)
  • 1.
    ​MiG-3 ถูกใช้เพื่อสกัดเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันที่พยายามโจมตีกรุงมอสโก
  • 2.
    ​มีนักบินที่มีชื่อเสียง เช่น อเล็กซานเดอร์ โปคริชกิน (Alexander Pokryshkin) เคยบิน MiG-3 ในช่วงแรกของสงคราม
4. การเลิกใช้งานและเครื่องบินที่มาแทนที่
  • 1.
    ​MiG-3 ถูกผลิตออกมา ประมาณ 3,422 ลำ แต่ถูกเลิกผลิตในปี 1942 เนื่องจากข้อจำกัดด้านสมรรถนะ
  • 2.
    ​เครื่องบินที่มาแทนที่ MiG-3 ได้แก่ Yak-3, Yak-7 และ La-5 ซึ่งมีสมรรถนะที่เหมาะสมกับสงครามมากกว่า
สรุป
✅ MiG-3 ถูกใช้ในภารกิจการรบจริง โดยเฉพาะการสกัดเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมัน
✅ มีสมรรถนะดีที่ระดับสูง แต่ เสียเปรียบ Bf 109 ที่ระดับต่ำ ซึ่งเป็นจุดที่การรบส่วนใหญ่เกิดขึ้น
✅ ถูกใช้ใน การป้องกันมอสโกและเมืองสำคัญในโซเวียต
❌ ถูกเลิกใช้ในปี 1942 และถูกแทนที่ด้วยเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ เช่น Yak-3 และ La-5
หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักบินที่ใช้ MiG-3 หรือยุทธการสำคัญ
ตารางเปรียบเทียบ MiG 3 กับ Bf 109E/F
เครื่องบิน MiG-3 ของโซเวียต ไม่ได้ถูกขายให้กับประเทศอื่น เนื่องจากมันถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้โดยกองทัพอากาศโซเวียต (VVS - Voyenno-Vozdushnye Sily) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และถูกใช้งานเป็นหลักในการป้องกันดินแดนของสหภาพโซเวียตเอง
สาเหตุที่ MiG-3 ไม่ได้ถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ
  • ​ออกแบบมาเพื่อปฏิบัติการเฉพาะภายในโซเวียต
  • 1.
    ​MiG-3 ถูกพัฒนาเพื่อทำหน้าที่ สกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมนี และใช้ป้องกันเมืองใหญ่ของสหภาพโซเวียต เช่น มอสโก
  • 2.
    ​โซเวียตต้องการเก็บเครื่องบินไว้ใช้เองเป็นหลัก จึงไม่ได้พิจารณาส่งออก
  • 3.
    ​ออกแบบมาเพื่อปฏิบัติการเฉพาะภายในโซเวียต
  • ​MiG-3 ถูกพัฒนาเพื่อทำหน้าที่ สกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมนี และใช้ป้องกันเมืองใหญ่ของสหภาพโซเวียต เช่น มอสโก
  • ​โซเวียตต้องการเก็บเครื่องบินไว้ใช้เองเป็นหลัก จึงไม่ได้พิจารณาส่งออก
  • ​ไม่ใช่เครื่องบินที่ได้รับความนิยมมากนัก
  • 1.
    ​MiG-3 มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น การควบคุมที่ยากและสมรรถนะที่ดีเฉพาะในระดับความสูงสูง (เหนือ 7,000 เมตร) ทำให้ไม่เหมาะกับภารกิจสนับสนุนภาคพื้นดินที่โซเวียตต้องการ
  • 2.
    ​นักบินโซเวียตหลายคนชอบเครื่องบินรุ่นอื่น เช่น Yak-1 หรือ LaGG-3 มากกว่า
  • 3.
    ​ไม่ใช่เครื่องบินที่ได้รับความนิยมมากนัก
  • ​MiG-3 มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น การควบคุมที่ยากและสมรรถนะที่ดีเฉพาะในระดับความสูงสูง (เหนือ 7,000 เมตร) ทำให้ไม่เหมาะกับภารกิจสนับสนุนภาคพื้นดินที่โซเวียตต้องการ
  • ​นักบินโซเวียตหลายคนชอบเครื่องบินรุ่นอื่น เช่น Yak-1 หรือ LaGG-3 มากกว่า
  • ​สหภาพโซเวียตไม่เน้นการขายอาวุธในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
  • 1.
    ​ต่างจากเยอรมนีและอังกฤษที่มีการส่งออกเครื่องบินให้กับพันธมิตร โซเวียตเน้นการผลิตเพื่อใช้เองมากกว่า
  • 2.
    ​สหภาพโซเวียตไม่เน้นการขายอาวุธในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
  • ​ต่างจากเยอรมนีและอังกฤษที่มีการส่งออกเครื่องบินให้กับพันธมิตร โซเวียตเน้นการผลิตเพื่อใช้เองมากกว่า
  • ​ประเทศใดบ้างที่อาจมี MiG-3
  • ​ถึงแม้ MiG-3 จะไม่ถูกขายให้ประเทศอื่นโดยตรง แต่มีบางประเทศที่อาจมีโอกาสได้รับเครื่องบินรุ่นนี้ เช่น:
  • 1.
    ​ฟินแลนด์ – ยึด MiG-3 จากโซเวียตระหว่างสงครามฟินแลนด์-โซเวียต แต่ไม่มีหลักฐานว่าถูกนำมาใช้งานจริง
  • 2.
    ​เยอรมนี – ยึด MiG-3 บางลำในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และอาจนำไปทดลอง
  • ​สรุป
  • 1.
    ​MiG-3 ไม่ได้ถูกขายให้ประเทศอื่นอย่างเป็นทางการ
  • 2.
    ​ถูกใช้เฉพาะในกองทัพอากาศโซเวียต สำหรับการสกัดกั้นเครื่องบินเยอรมัน
  • 3.
    ​มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทำให้ไม่นิยมใช้มากนัก
ขอขอบคุณภาพเครื่องบิน สวยๆ จากพี่ไพบูลย์ และข้อมูลประกอบจาก Chat GPT มากครับ
โฆษณา