22 มี.ค. เวลา 02:15 • ความคิดเห็น
เรื่องราวของธรรม ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านได้สะสมบุญกุศลบารมี ลดละความยึด ลดละความโลภโกรธหลง จนมาชาติสุดท้าย ท่านลงมาจุติ เพื่อตรัสรู้ ก็มีจิตที่สะสมบุญกุศลติเตามจากชั้นดุสิต ชั้นดาวดึงส์ สะสมมาเป็นอสงไขยเหมือนกัน ติดตามมา เพื่อรับแสงสว่างเหมือนพระอาทิตย์ เกิดขึ้นในโลก แล้วพระอาทิตย์ ดวงต่อไปก็มาบังเกิดขึ้น อีกสองพันห้าร้อยปีข้างหน้า ในยุคนั้น ผู้ที่สะสมบารมี ก็จะสำเร็จบรรลุ พระอรหันตได้ง่ายขึ้น เดินไปทางไหน ก็มีเสียงของธรรมให้ฟัง
ในยุคขององค์พระสัมมาสมพุทธเจ้าพระสมณโคดม เจ้าชาติสิทธัตถะ ท่านทิ้งเวียงวัง ยศศักดิ์ ทิ้งญาติพี่น้อง ทิ้งพ่อ ต้องไปนั่งเป็นตุ๊กตาในป่าคนเดียว ไปทำกายนิ่ง จิตนิ่งเกิดขึ้น ปลดเปลื้อง ทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดสวาทแม้เรือนกาย กายมันกระหายน้ำ ท่านก็ไปนั่งห่างที่ไม่มีน้ำ แล้วหิวน้ำท่านก็เดินไปดื่มน้ำ อึกเดียว ประทังสับขารแล้วกลับมานั่งที่เดิม นั่นท่านทำด้วยขันติ ให้จิตนั้นเกิดขันติ ขันติตัวนี้ ก็จะช่วย ตัดขาดความทุกข์ ทุกข์ของกายเกิดขึ้นมา ก็ขันติเปบารมี
..ฝนตกน้ำท่วม พัดกิ่งไม้ใบไม้มา ท่านก็นั่งนิ่งเฉย แต่แปลก เมื่อกิ่งไม้ใบไม้ ที่ไหลมากับน้ำ ที่ท่วมไปถึงอก ก็ไม่ทำให้ดายท่านลิยไปตามน้ำ พอลืมตาขึ้นมา อีกที่ ..ก็พบตัวเองนั่งที่เดิม ไม่กิ่ไม้ใบไม แตะต้องกาย ก็สำรวจตรวจสอบว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น สำรวจอล้ว ก็พบว่า นั่นก็เป็นเรื่องราวของบุญกุศลบารมีที่สะสมมาเป็นอเนกชาติ ที่ฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ นั่น หนักแน่น ..น้ำป่าไที่ไหลมา ก็พัดกายนี้จิตดวงนี้ ให้ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย
มีพระองค์ นิ่งท่านเราให้ฟัง ขณะที่เราก็นั่งพับเพียบปฏิบัติฟังธรรม ความเจ็บปวดมันเกิดขึ้นที่ตัวเรา กายสั่นไหว ระริก ..ทุกข์ทรมาน ..เราก็บังกายให้นิ่ง จิตเฉย ..ท่านก็เล่าเรื่องของท่านไป เราก็นั่งนิ่ง ทำจิตเฉย ไม่ยึดกายไม่ยึด..ความเจ็บปวด ..เราก็มองด้วที่มือ ที่พนมอยู่ ดูว่า..มือนั่นนิ่งมั้ย สั่นไหว
..ท่านกเล่ามา ว่า มันเจ็บปวดทุกข์ทรมานกาย ..กาลกำลังจะตายๆ ..โอ้ว ..จิตจะออกจากร่างแล้วๆๆ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ..ความขันติที่เกิดขึ้น ก็ทำให้มองดูกายที่เจ็บปวดที่เกิดขึ้น กลายเป็นขำไป .ในสิ่งที่เกิดขึ้น .นั่นเค้าเรียกว่า กายบิดามารดา..สอนจิต. ให้จิตของบุตรธิดามีความขันติเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าสอนให้พระอานนท์ ทำตาม ..พระอานนท์ ท่านเล่าว่า พอพระพุทธเจ้า ท่านนั่ง ..สมาธิ พูดว่า กายนิ่ง จิตนิ่ง ปุ๊บ ..กายของพระองค์แข็งเป็นก้อนหินเหมือนเสาไปเลย ..พระอานนท์ท่านก็ทำตามพระพุทธเจ้า ..พระอรหันต์ ท่านก็ไปฝึกหัดตามพระพุทธเจ้า พระกัสสปะ ท่านชรา ท่านก็ไปคลานจงกรม จนสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ นั่นจึงมีเรื่องราวของรอยทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ทำกายนิ่ง จิตเฉย ..ไม่นึกคิดอะไรทั้งนั้น นึกคิดนั่นคือ กรรม นั้นคือ อารมณ์ ที่จิตนั้นหลงไหลไปยึดถือ ยึดเข้ามา ..ก็ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายอีก
คราวนี้ เรื่องราวของรอยทั้งสี่ นั่น ก็เหมือนเป็นเส้นทางให้จิตนั่น มากระทำ มาสะสมบุญกุศล สลัด ความโลภโกรธหลง สลัดความทุกข์ ชะระสะสางกรรม กรรมที่สะสมอยู่ กับธาตุทั้งสี่ ทำด้วย จิตที่เข้มแข็งมีขันติเป็นบารมี ที่ต้องผ่านความทุกข์ยากแสนสาหัส ท่านกระทำไปจนกายนั้นเป็นแก้ว ..มีหลายพระองค์ที่ท่านบรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อพยุงศาสนา ช่วยเหลือจิตที่ อยากจะพ้นทุกข์ อยากหนีกรรม ใฝ่ในธรรม มีการสร้างบุญกุศล ปฏิบัติธรรม เพื่อหนีกรรม ท่านก็เมตตาช่วยเหลือ
ยุคของพระสฒณะโคดม ผู้ที่ปฏิบัติ ต้องมีความเพียรมีขันติ หากปราศจากสองสิ่งนี้ ก็ยากที่จะเรียนรู้ ปฏิบัติธรรมขึ้นมา ด้วยกายของตนเอง ก็ได้แต่เที่ยวไปหาคำภีร์ตำรา อ่านไป แต่ปัญญา ท่ี่สร้างบุญสวดมนต์ เอากายพ่อแม่ มานั่ง มากระทำในรอยทั้งสี่นี้ไม่ได้ ..เค้าก็ว่า ..นั้นนะหรือผู้ที่มีปัญญาที่จะหนีการเกิด..
มีคำหนึ่ง ที่ว่า กายเป็นบุญ จิตมีธรรม ไปจน กายเป็นธรรม จิตก็เป็นธรรม
..ส่วนขิงเรากายนั้นเป็นกายกรรม ..เป็นธรรมชาติ ของความโลภโกรธหลง วิญญาณทั้งหก เป็นธรรมชาติ ที่จิตนั้นอยู่กับกายที่มันหิว มีราตะตัณหา เป็นธรรมชาติ พอธรรมชาตของอารมณ์ ราคะเกิดขึ้น ก็ใช้กายนี้เคลือนที่ไป ขันธ์ห้าก็เปลี่ยนแปลงไป..เมือสำเร็จกิจ ..ธรรมชาติของตัวราคะ ไอ้ตัวราคะมันก็นอนนิ่งอยู่ข้าจิตภายในกาย .ตัวอื่นก็เข้ามาแทน .. แล้วตัวราคะ ก็เกิดขึ้นมาใหม่อีก พอกายมันเจ็บปวด นอนติดเตียง ไอ้ตัวราคะ มันก็ไม่โผล่ออกมา มีแต่จะไปทาง ปลุกไม่ตื่น ฟื้นไม่มี เป็นธรรมชาติ ..แล้วจิตดวงนั้นไปไหน ..
โลกนี้ เค้าก็มี อาหารให้ประทังกาย ดับความหิวกระหาย มีอะไรมากให้ยึดถือ มีรส ..ต่างไว้ให้ปรุงแต่ง ด้วยลิ้นที่ไปสัมผัส ..ปรุงรสได้ตามใจชอบ ตามที่ปรารถนา ไปเอาเนื้อ น้ำเลือดน้ำหนองเค้า ทำให้เค้าเดือดร้อน ต้องออกจากรูปกรรมที่อาศัย ..กิน้ำเลือดน้ำหนองเค้าเอร็ดอร่อย
..ถึงเวลาเค้าก็มีกินน้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรม หนุนนำในเรือนกายบ้างเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่กินกันเอร็ดอร่อย ที่โลกปรนเปรอให้ ..พอลิ้นมันเสื่อมสภาพ กินก็ไม่เอร็ดอร่อยเหมือนเดิม ฟันฟางหลุดไป เหลือเแต่เหงือก กินอะไร ก็ไม่อร่อย ร่างกายก็ซูผอม หมดเรียวแรง บำรุงอย่างไรก็ไม่ ไม่ส่งผล
เพราะของมันเสื่อมเป็นธรรมชาติ รอคอย กิริยานอนตาย เป็นที่ประจักษ์ ..ที่ว่า ของของโลก ก็ทิ้งไว้ในโลก เอาไปไม่ได้เลย นั้นก็ธรรมชาติน่ะ ที่หาๆมาสะสมเสียมากมาย ที่ไร่ที่นา ทรัพย์สินเงินทอง ยศฐานบรรดาศักดิ์ เอาไปไม่ได้ ส่วนคนจน ก็ไม่ค่อยมี อะไร ไม่มีห่วงมีบ่วงมาก มากมาย จิตมาดวงเดียว ก็ไปดวงเดียว ชวนใครไปก็ไม่มีใครไปด้วย
..จิตต้องเดินทางออกจากสังขาร ..มีเสบียงในการเดินทางยาวไกล แล้วหรือยัง ..สิ่งที่สะสมมากับธาตุทั้งสี่เป็นธรรมชาติ สะสมใช้กายนี้ทำอะไร ..ธรรมชาติของนิสัยทีใช้กายวาจาใจอย่างไร ทำอะไร ในคำว่ากายวาจาใจ ก็จะนำพาไป ตามนิสัยที่ชอบ . เวลาคนเป็นไปเผาคนตาย ..เค้าก็ว่าไปที่ชอยๆ ล่ะกัน .
..ธรรมชาติของ..สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ ..เค้าให้เรามาใช้ ..ใช้สร้างกรรม ก็ได้กรรม ใช้สร้างบุญ ก็ได้บุญ .
การที่เราได้ฟังธรรมบ่อย ..จากพระที่ท่านมาสอน พระที่สูงๆ มาสอนนั้น ท่านใช้คำพูดง่ายๆ พูดให้เราได้ฟัง ให้เรา ไปใครครวญ พิจารณาแล้วๆ พิจารณาอีก ..แล้วก็กระทำขึ้นมา ท่านบอกเราว่า สิ่งนั้นเป็นธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านฟัวพระพุทธเจ้า ท่านก็ยัวไม่เชื่อ ..แต่ท่านก็ใครครวญเหตผลต่างๆ แล้วท่านก็ไปปฏิบัติขึ้นมา
.ซท่านเล่าว่า ท่านก็ปฏิบัติธรรมมาเรื่อยๆ มันยังไม่ถึงไหน จนมาคราวนี้ ตัดใจ มันจะตายก็ชั่วมัน ..ท่านก็นั่งกายนิ่งจิตนิ่ง อยู่กับน้ำแข็ง นั่งไนิ่งไปเลย สองสามวัน ....จนจิตท่านเข้าถึง คำว่า ความสุขที่แท้จริง เราก็ฟังท่านมา จำๆมาเล่าต่อ..ท่านบอกว่า ปฏิบัติธรรมจิต้องมีความเพียร มีขันติอดทน..ไม่เช่นนั่น ฝึกหัดเดืนตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย
ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านก็ฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ จิตที่มีบุญบารมีมาเต็มที่ ก็ได้ไปพบเจอะเจอ..ปฏิบัติธรรมจน บรรลุสำเร็จเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเต้า (มีพระท่านเล่าให้ฟัง แต่ยองฝ
ไม่ได้ ว่าเป็นองค์ไหน ท่านก็บอกได้ เพียงให้เรา หมั่นฝึกหัด ปฏิบัติธรรมขึ้นมา สร้างบุญกุศลขึ้นมา ..สร้างเหตุให้กายกรรม นั่นเป็นกายบุญขึ้นมาให้ได้เสียก่อน กายบุญ จิตอาศัยในกายบุญ ก็มีความสุข
..แล้วนำกายบุญ มีบุญหนุนนำ ชำระสะสาง เศษของกรรม เศษกรรมเล็ก ใบไหม้เล็ก อารมณ์เล็กน้อยๆ พอมันติดไฟ มันก็เผาเราตกนรกได้เหมือนกัน
“สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด..
สิ่งทั้งหลายในโลกหลอกลวงให้จิตจิตเรามีกรรม .ให้ต้องเกิดๆตายๆ ไม่จบสิ้น ..
โฆษณา