13 เม.ย. เวลา 01:47 • ไลฟ์สไตล์

แล้วแต่จะเลือกเลย

มีเคสคลาสสิกที่กระตุกต่อมจริยธรรมที่เรียกว่า “ปัญหารถไฟ”
รถไฟกำลังจะมาในอีกไม่ถึงหนึ่งนาที
หากคุณเป็นเจ้าหน้าที่สับราง เพื่อเลือกให้รถไฟวิ่งไปในรางใดรางหนึ่งเท่านั้น โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง รถไฟขบวนนั้นต้องชนคนที่อยู่บนราง
รางแรก ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย จะมีคนตายสี่คน
ถ้าคุณสับไปรางที่สอง จะมีคนตายหนึ่งคน
ถ้าเป็นเหตุการณ์จริง คุณอาจจะยืนช็อกจนทำอะไรไม่ถูก
แต่ถ้าตั้งสติได้ คนส่วนใหญ่จะเลือกสับไปรางที่สองเพราะมีคนตายน้อยกว่า
แต่ถ้าเพิ่มเหตุผลเข้าไป
รางแรก มีป้ายแสดงสัญลักษณ์ชัดเจนว่ารถไฟกำลังมา เป็นพื้นที่ห้ามเข้า คนเหล่านั้นรู้อยู่แก่ใจแต่ยังฝ่าฝืน
ส่วนรางที่สอง มีป้ายเช่นเดียวกันแต่มีสัญลักษณ์แสดงว่าไม่มีรถไฟผ่าน เป็นพื้นที่ปลอดภัย คนคนนั้นรู้และเข้าใจจึงเดินเข้ามา
คราวนี้ต้องคิดหนักกว่าเดิมแล้วว่าจะสับรางไปทางไหน
รางแรก ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย จะมีคนตายสี่คน
ถ้าคุณสับไปรางที่สอง จะมีคนตายหนึ่งคน
คนเลือกรางแรก อาจมีเหตุว่าเลือกสี่ชีวิตเอาไว้ดีกว่าชีวิตเดียว
คนเลือกรางที่สอง อาจมีเหตุผลว่าต้องรักษาคนที่ทำตามกฎระเบียบ แม้ต้องยอมสละอีกหลายชีวิต
กลายเป็นว่าคุณต้องเลือกระหว่างปริมาณหรือคุณภาพ แต่อีกมุมหนึ่งของจริยธรรมอาจจะตัดสินใจแบบนั้นไม่ได้
ไม่มีอะไรถูกหรือผิด แต่ละคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง
ในชีวิตประจำวัน เราต้องมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจมากมาย
บางเรื่องมีความเสี่ยงมาก บางเรื่องมีความเสี่ยงน้อย
บางเรื่องเรามีเวลาคิดไตร่ตรอง บางเรื่องโดนบีบให้รีบตัดสินใจ
บางเรื่องมีเหตุผลรองรับง่ายต่อการตัดสินใจ บางเรื่องไม่มีเหตุผลแต่ถ้าตัดสินใจผิดไปเรื่องใหญ่จะตามมา
ทุกสรรพสิ่งในโลก ไม่มีอะไรที่เป็นขาวหรือดำล้วน ไม่มีสิ่งใดดีหรือเลวไปทั้งหมด จึงไม่มีอะไรถูกหรือผิดไปทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์
ดังนั้น จะเลือกทางไหนแล้วแต่ “ตัวคุณ” เลย
แต่ขอให้มีความชัดเจนและยึดมั่นกับการตัดสินใจของตัวเอง และยอมรับผลที่ตามมาแค่นั้นเอง
ตัดสินใจเลือกทางไหนก็ได้ แต่ขอให้ชัดเจนและยอมรับกับผลที่ตามมา
โฆษณา