Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Story Decoder
•
ติดตาม
23 มี.ค. เวลา 11:48 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
[รีวิว] The Brutalist - ศิลปินพลัดถิ่นตกถังข้าวสาร กับการเป็นคนนอกที่น่าอึดอัดแต่ก็อีโก้สูงใช่ย่อย
(1) พูดได้เต็มปากว่า The Brutalist เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาเพื่อ “ล่ารางวัล” โดยเฉพาะ และดูเหมือนจะบรรลุเป้าหมายนั้นซะด้วย ตัวหนังมีทุกไม้เด็ดที่เหล่ากรรมการเวทีรางวัล(โดยเฉพาะออสการ์)ชื่นชอบ ทั้งการเล่าถึงเรื่องผู้อพยพจากไฟสงครามนำไปสู่การแบ่งแยกทางเชื้อชาติและชนชั้น การยืนหยัดต่อสู้ของตัวศิลปินเพื่อไม่ให้ผลงานและอุดมการณ์ตกอยู่ใต้อำนาจทุนนิยม และผลพวงของมันก็แสดงถึงการต่อสู้แบบ “อเมริกันดรีม” ขนานแท้
หนำซ้ำการเลือกใช้ฟิล์ม 35 mm ในแนวนอนถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อเชิดชูศิลปะภาพยนตร์ก็ยิ่งเป็นแต้มใหญ่ให้เหล่ากรรมการเทหมดหน้าตักไปเลยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้
The Brutalist (2024)
(2) ภาพยนตร์มีความยาว(เกินไป)ถึง 3 ชั่วโมง 35 นาที รวมพักครึ่ง 15 นาทีแล้วด้วย เป็นระยะเวลาที่น่าหนักใจเหมือนกัน แน่นอนว่ามันคัดคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปดูออกอย่างสิ้นเชิง(หรือตั้งใจไม่มากพอ) แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ มันจำเป็นหรือไม่กับความยาวขนาดนี้ ถ้าพูดตามตรงก็ต้องบอกว่า มันสามารถกระชับและรวบรัดได้มากกว่านี้
เพียงแต่ความเก่งกาจของผู้กำกับ “แบรดี้ คอร์เบ็ต” (Brady Corbet) อยู่ตรงที่เขาสามารถร้อยเรียงเรื่องราวของ ลาสโล ทอธ (Adrien Brody) ให้สะกดสายตาได้ตลอดทั้งความยาวหนังและไม่ถูกความง่วงดึงหนังตาให้ปิดไปก่อนเอ็นเครดิตจะขึ้น
The Brutalist (2024)
(3) ด้วยความยาวระดับนี้จึงสามารถเล่าเรื่องของทอธได้ชนิดที่ว่าเกือบจะวันต่อวันเลย ตั้งแต่วันที่เขาอพยพหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในฮังการีในช่วงปี ค.ศ. 1947 มาอยู่บนผืนแผ่นดินใหม่ที่ก็มีความลำบากไปอีกแบบ เพราะแม้จะเป็นสถาปนิกที่มีผลงานและใบรับรองจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ทอธก็ต้องอยู่อย่างลำบากกับญาติของเขาที่เป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์ในช่วงแรก ก่อนจะได้รับงานชิ้นใหญ่จาก “แฮร์ริสัน ลี แวน บูเรน” (Guy Pearce) เศรษฐีนักธุรกิจผู้หลงใหลในงานแบบบรูทัลลิสต์ของทอธให้ช่วยออกแบบอาคารสาธารณะสำหรับชุมชน
The Brutalist (2024)
(4) มีความคล้ายคลึงอย่างน่าประหลาดใจระหว่างลาสโล ทอธ ของ The Brutalist ที่เป็นบุคคลจากเรื่องแต่ง กับ “บ็อบ ดีแลน” จาก A Complete Unknown ที่เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ คือ ทั้งสองคนล้วนเป็น"ใครสักคน”มาก่อน และมีพรสวรรค์หรือความอัจฉริยะบางอย่างที่เมื่อผูกเข้ากับดวงแล้ว มันสามารถฉุดชีวิตของพวกเขาขึ้นมาได้ กรณีของทอธได้เศรษฐีอย่างแฮร์ริสันที่ตอนแรกเขาแทบจะกินหัวเขาเพราะดันไปสร้างห้องสมุดโดยพละการตามคำว่าจ้างของ “แฮร์รี่ ลี” (Joe Alwyn) ผู้เป็นลูกชายหมายจะทำเซอร์ไพร์สอันเป็นจุดที่ทำให้ทั้งสองได้พบกัน
The Brutalist (2024)
(5) แต่ต่างจากบ็อบ ดีแลน ผู้เป็นอเมริกันชน เขาจึงไม่ต้องเจอในสิ่งที่ลาสโล ทอธ ต้องเจอ และชื่อของ The Brutalist ที่นอกจากจะหมายความถึงแขนงของสถาปัตยกรรมในเรื่องแล้ว มันยังคงสื่อไปถึงความโหดร้ายที่ทอธได้รับในฐานะคนยิวที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น ขนาดว่าเขาเป็นสถาปนิกผู้มีฝีมือฉกาจแต่ก็ยังคงมีทางเลือกไม่มากนักในการต่อสู้ดิ้นรน แต่หากมองในแง่ของความเป็นจริงก็ต้องถือว่าเขามีความโชคดีกว่าคนอื่นๆ มากมายนัก จากการที่ได้เจอกับแฮร์ริสันทำให้เขามีงานและไม่ต้องไปทำงานเป็นกรรมกรและนอนในโบสถ์แบบนั้น
อีกทั้งยังช่วยให้ภรรยาของเขา “เออร์เซเบต ทอธ” (Felicity Jones) และหลานสาว “โฌเฟีย” (Raffey Cassidy) ให้ลี้ภัยมาอยู่ด้วยกันได้อีก
The Brutalist (2024)
(6) พูดกันตามตรง The Brutalist นั้นพยายามสร้างดราม่าให้กับเรื่องราวเกินเหตุไปสักหน่อย สิ่งที่ทอธต้องเจอมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื้อหนังเกือบทั้งหมดหมกมุ่นอยู่กับโปรเจคการสร้างอาคาร ที่มีปัญหาคลาสิคระหว่างสถาปนิกกับวิศวกร ฝั่งแรกก็พยายามจะอยากได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ในขณะที่อีกฝั่งก็ต้องคุมงบประมาณงานสร้างและดูความเป็นไปได้ เป็นเหมือนน้ำกับไฟที่รบกันที่ไรก็เป็นเรื่องตลอด ส่วนฝั่งของภรรยาก็ทอธ แฮร์ริสันก็หางานให้ทำสร้างรายได้ไปอีกทาง มองแล้วก็ดูเป็นเศรษฐีใจบุญผู้ประเสริฐอย่างมาก
The Brutalist (2024)
(7) ในระหว่างนั้นตัวภาพยนตร์ก็พยายามนำเสนอประเด็นของความการเป็นคนนอกของทอธ กับการที่เขาต้องทำตามความคาดหวัง(คำสั่ง) ของแฮร์ริสันที่นอกแผนและเปลี่ยนไปมาบ่อยครั้ง เหมือนกับที่ภรรยาของเขาพูดว่า “สำหรับคนพวกนี้ก็เหมือนเปลี่ยนห้องครัว” หรือในขณะที่ฝ่ายคนรวยโดยเฉพาะแฮร์รี่ผู้เป็นลูกชายก็รู้สึก “อึดอัด” กับทอธและครอบครัวอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาร่วมโต๊ะอาหารในงานปาร์ตี้ที่มีความต่างของมารยาทบนโต๊ะอาหารค่อนข้างชัดเจน
The Brutalist (2024)
(8) แต่นั่นก็ยังไม่เท่าการที่ฝั่งคนรวยมองผู้อพยพเป็นเพียงแค่ “แรงงาน” หากจะมองว่าการที่แฮร์ริสันพาครอบครัวของทอธมาอยู่ในอาณาบริเวณของเขาเป็นเหมือนการ “กักขัง” ก็ว่าได้ แต่น้ำหนักของเรื่องนั้นยังไม่ชัดเจนนัก จนกระทั่งจุดไคล์แมกซ์ของเรื่องกับการกระทำของแฮร์ริสันต่อทอธที่ค่อนข้างเซอร์ไพร์สมากๆ และมันทำให้ความดีความชอบของเขาทั้งหมดมลายหายไปจนสิ้น (ส่วนใครจะมองว่าเป็นการยัดเยียดมาก็ไม่ว่ากัน เพราะมันแทบไม่มีท่าทีของเรื่องนี้มาก่อนเลย)
The Brutalist (2024)
(9) อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ คือ แม้จะมองว่าฝ่ายทอธเป็นผู้ถูกกระทำต่างๆ นานา แต่ผู้กำกับแบรดี้ คอร์เบ็ต ก็นำเสนอด้านแย่ๆ ของสถาปนิกหน้าเศร้าเว้าวอนผู้นี้ด้วยเหมือนกัน ทั้งความดื้อรั้น อีโก้สูง จนคนรอบข้างเบื่อหน่าย และนั่นนำไปสู่ความขัดแย้งของเขาและแฮร์รี่บ่อยครั้งจนเหม็นหน้ากัน หรืออาการติดยาเสพติดที่สุดท้ายมันก็ส่งผลต่อหน้าที่การงาน แต่ท้ายที่สุด การที่เขายังยืนหยัดอยู่ในใจของแฮร์ริสันได้คงเป็นเพราะความเป็นศิลปินที่แฮร์ริสันยอมรับและหลงใหลที่ไม่ต่างจากทอธ
The Brutalist (2024)
(10) ด้านการถ่ายภาพ(ที่มัดใจออสการ์) ตัวหนังมีการใช้เทคนิคที่เรียกว่า VistaVision เป็นเทคนิคการถ่ายทำที่พัฒนาโดย Paramount Pictures เมื่อ 70 ปีที่แล้ว โดยเปลี่ยนจากฟิล์มในแนวตั้งเป็นแนวนอน ทำให้ภาพที่ได้มีสัดส่วนที่กว้างและคมชัดขึ้น รวมถึงทำให้ภาพลดเกิดการโค้งของเลนส์ซึ่งสำคัญมากในการถ่ายทอดความสมบูรณ์แบบของงานสถาปัตยกรรม และการที่ตัวหนังใช้ทุนสร้างเพียงแค่ 10 ล้านดอลลาร์ฯ
หากเทียบกับงานที่ได้แล้ว นี่ถือว่าเป็นการแสดงออกอย่างแรงกล้าว่าความคิดสร้างสรรค์สามารถเอาชนะทุนนิยมได้ (คล้ายๆ กับที่ Flow ทำเหมือนกัน)
The Brutalist (2024)
(11) เอเดรียน โบรดี้ ใบบท ลาสโล ทอธ อาจจะบอกได้ว่านี่เป็นงานแสดงที่อาจจะพาเขาไปคว้าออสการ์ตัวที่สองในชีวิต ถัดจากบท “วลาดีสลาฟ สปีลมัน” (Władysław Szpilman) นักเปียโนชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว ที่ต้องเอาชีวิตรอดจากการกวาดล้างของนาซีในกรุงวอร์ซอ จาก The Pianist แม้จะมีเรื่องราวของการใช้ AI แก้ไขเสียงพูดในภาษาฮังการีเพื่อเพิ่มความสมบูรณ์ก็ตาม แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นบนจอนั้นน่าจะทำให้ “ทิโมธี ชาลาเมต์” ในบทบ็อบ ดีแลน จาก A Complete Unknown นั่งไม่ติดเลยทีเดียว
ลาสโล ทอธ (Adrien Brody)
(12) อีกสองคนที่เข้าชิงออสการ์ในสาขาของตัวเองเช่นกัน อย่างเฟลิซิตี้ โจนส์ ในบทเออร์เซเบต ทอธ และกาย เพียร์ซ ในบทแฮร์ริสัน ลี แวน บูเรน รายแรกแม้จะมีบทบาทในช่วงหลังของเรื่อง (หลังจากพักเบรก) แต่กลายเป็นตัวละครที่โดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางเหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลาย แม้กายจะติดรถเข็นแต่เราสัมผัสได้ถึงความหยิ่งผยองและความแกร่งทางสติปัญญาจากตัวละครนี้ ในขณะที่รายหลังมีบทบาทในการ “สมทบ” ตัวละครหลักทั้งในบทบาทและการแสดงเรียกว่าลาสโล ทอธ คงจะไม่มีตัวตนเลยหากขาดเศรษฐีใจบุญผู้นี้อุปถัมภ์
“เออร์เซเบต ทอธ” (Felicity Jones)
“แฮร์ริสัน ลี แวน บูเรน” (Guy Pearce)
(13) จุดที่น่าเสียดายของ The Brutalist อย่างที่บอกมันอยู่ที่ความยาวของหนังนั่นแหละเรื่องราวชีวิตของทอธที่ถูกบอกเล่าอย่างละเมียดละไมจนเกินเหตุ ประเด็นเรื่องก็ซ้ำวนไปวนมา หรือจะบอกว่าทั้งหมดเพื่อจุดไคล์แมกซ์นั้นก็ดูจะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนไปหน่อย และหากพูดแรงขึ้นอีกนิด คือ ประเด็นที่หนังเล่ามันก็ดูซ้ำซากเป็นรอบที่ร้อยแล้วเกี่ยวกับเรื่องของชาวยิวอพยพหรือเรื่องราวของผลกระทบของสงคราม แม้ออสการ์จะชอบแต่สำหรับผู้คนทั่วไปนี่ก็เป็นอาหารอีกจานที่กินซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเริ่มเอียนแล้วเหมือนกัน
The Brutalist (2024)
Story Decoder
ภาพยนตร์
ศิลปะ
บันเทิง
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย