24 มี.ค. เวลา 06:24 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เติ้ง vs ลี: เมื่อมังกรพบสิงโต เบื้องหลังมิตรภาพที่เปลี่ยนโฉมหน้าเอเชีย

ในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ มีชื่อของชายคนหนึ่งที่โดดเด่นและมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศ นั่นคือ เติ้ง เสี่ยวผิง บุรุษผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและกล้าหาญพอที่จะนำพาจีนออกจากความวุ่นวายสู่ยุครุ่งเรือง
1
เรื่องราวของเขาไม่เพียงแต่เป็นประวัติศาสตร์เฉพาะของบุคคลหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศมหาอำนาจที่ขีดชะตาโลกใบนี้
เติ้ง เสี่ยวผิง เกิดในปี 1904 ในครอบครัวชาวนาในมณฑลเสฉวน ชีวิตของเขาเริ่มต้นอย่างธรรมดา แต่กลับจบลงด้วยการเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
ในวัยเยาว์ เขาได้รับเลือกให้ไปศึกษาและทำงานในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่จะพลิกชีวิตของเขาและอนาคตของจีนไปตลอดกาล
ระหว่างการเดินทางไปฝรั่งเศส เติ้งได้แวะพักที่หลายเมือง รวมถึงสิงคโปร์ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ประสบการณ์ครั้งนี้ได้เปิดโลกทัศน์ของเขาอย่างมาก
เขาได้เห็นความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับบ้านเกิดของเขา และที่สำคัญ เขาได้เห็นการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าอาณานิคมต่อคนงานท้องถิ่น ซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวคิดทางการเมืองของเขาในอนาคต
1
หลังจากกลับจากฝรั่งเศส เติ้งได้เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนและมีบทบาทในการปฏิวัติ เขาได้ร่วมเดินทางไกลกับเหมา เจ๋อตง และได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำคนสำคัญของพรรค
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของเขาไม่ได้ราบรื่นตลอดไป ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เติ้งถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้เดินตามแนวทางทุนนิยม” และถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมด ถูกถีบส่งไปทำงานในโรงงานในชนบท
แต่พรหมลิขิตของเติ้งไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น หลังจากการเสียชีวิตของเหมา เจ๋อตง เติ้งได้รับการฟื้นฟูอำนาจและกลับมาสู่ตำแหน่งสำคัญในพรรคอีกครั้ง นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจีน
เติ้งตระหนักดีว่าจีนต้องการการเปลี่ยนแปลง และเขาพร้อมที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างเด็ดขาด
ในปี 1978 เติ้งได้เดินทางไปเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ การเยือนครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเยือนทางการทูตธรรมดา แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่
เติ้งได้พบกับ Lee Kuan Yew นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ในขณะนั้น และได้เห็นความสำเร็จของสิงคโปร์ในการพัฒนาประเทศ
Lee Kuan Yew ได้กล่าวกับเติ้งอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเรา ชาวจีนสิงคโปร์ เป็นลูกหลานของชาวนาผู้รู้หนังสือแต่ไร้ที่ดินจากกวางตุ้งและฝูเจี้ยนในจีนตอนใต้
ในขณะที่นักปราชญ์ ขุนนาง และชนชั้นมีการศึกษายังคงอยู่และทิ้งลูกหลานไว้ในจีน ไม่มีอะไรที่สิงคโปร์ทำแล้วจีนไม่สามารถทำได้ และทำได้ดีกว่า” คำพูดนี้สร้างความประทับใจให้กับเติ้งเป็นอย่างมาก
เติ้งได้เห็นสังคมที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นระเบียบเรียบร้อยของสิงคโปร์ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพที่เขาเคยมีเกี่ยวกับประเทศนี้
เขาได้เห็นว่าทุกคนมีบ้านเป็นของตัวเองและมีงานทำ เขาจึงถามด้วยความตะหงิดใจว่า “คุณทำได้อย่างไร?” Lee ตอบว่า “เราให้การศึกษาแก่ประชาชนของเรา และดูบริษัทเหล่านี้สิ ทั้งอเมริกัน ญี่ปุ่น ยุโรป พวกเขานำเทคโนโลยีมา ฝึกอบรมคนของเรา เราเรียนรู้วิธีทำสิ่งต่างๆ”
2
เติ้งได้รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของสิงคโปร์ เขาเห็นว่าการผสมผสานระหว่างการวางแผนของรัฐและกลไกตลาดสามารถนำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วได้
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน” ที่เติ้งจะรังสรรค์มาใช้ในการปฏิรูปจีนในเวลาต่อมา
หลังจากกลับจากสิงคโปร์ เติ้งได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปทันที เขาประกาศนโยบาย “สี่ทันสมัย” ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ
นอกจากนี้ เขายังเปิดประเทศจีนสู่การลงทุนจากต่างประเทศ และส่งเสริมการส่งออกให้พุ่งทะยาน
หนึ่งในนโยบายที่สำคัญที่สุดของเติ้งคือการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเซินเจิ้น ซึ่งอยู่ติดกับฮ่องกง
เขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีและกฎระเบียบที่ยืดหยุ่นกว่า เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นโยบายนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เซินเจิ้นกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และเป็นตัวอย่างของการพัฒนาแบบ “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน”
อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปของเติ้งไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาเผชิญกับแรงต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยมในพรรคที่กังวลว่าการเปิดประเทศและการปฏิรูปเศรษฐกิจอาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 ซึ่งนำไปสู่การปราบปรามอย่างโหดเหี้ยม เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของจีนในเวทีโลกและทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับทิศทางการปฏิรูปของเติ้ง
แม้จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ แต่เติ้งยังคงยืนหยัดในวิสัยทัศน์ของเขาอย่างไม่สั่นคลอน ในปี 1992 เมื่ออายุ 88 ปี เขาได้เดินทางไปตรวจราชการทางตอนใต้ของจีน ซึ่งกลายเป็นการเดินทางที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
ในการเดินทางครั้งนี้ เติ้งได้ยืนยันถึงความสำคัญของการปฏิรูปและการเปิดประเทศ โดยกล่าวว่า “การพัฒนาคือความจริงอันแท้จริงเพียงอย่างเดียว” และ “ไม่สำคัญว่าแมวจะเป็นสีขาวหรือสีดำ ตราบใดที่มันจับหนูได้ก็เป็นแมวที่ดี”
คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นคำพูดที่มีชื่อเสียงของเขา สะท้อนถึงแนวคิดที่ยืดหยุ่นและมุ่งเน้นผลลัพธ์มากกว่าอุดมการณ์
การเดินทางครั้งนี้ของเติ้งได้จุดประกายความเชื่อมั่นใหม่ในการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน และนำไปสู่การเร่งการพัฒนาในทศวรรษต่อมา ผลของการปฏิรูปของเติ้งเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน
ในปี 1978 เมื่อเติ้งเริ่มการปฏิรูป รายได้ต่อหัวของจีนอยู่ที่เพียง 200 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในปัจจุบัน รายได้ต่อหัวของจีนได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการเติบโตที่น่าทึ่งมาก
นอกจากนี้ สัดส่วนของเศรษฐกิจจีนต่อเศรษฐกิจโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จากเพียง 2% ในปี 1978 เป็น 15% ในปัจจุบัน ทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอย่างลึกซึ้ง
ความสำเร็จของจีนภายใต้การนำของเติ้งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนจีนหลายร้อยล้านคน
1
การลดความยากจน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการจ้างงาน ล้วนเป็นผลมาจากนโยบายการปฏิรูปและเปิดประเทศของเติ้งที่รังสรรค์ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเติ้งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภายในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงสิงคโปร์ด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสิงคโปร์ภายใต้การนำของเติ้งนั้นมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีระบบการปกครองและขนาดที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่พวกเขาก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเป็นประโยชน์ร่วมกันได้
เติ้งเห็นคุณค่าของประสบการณ์การพัฒนาของสิงคโปร์และพยายามเรียนรู้จากความสำเร็จของประเทศเล็กๆ แห่งนี้
หลังจากการเยือนสิงคโปร์ของเติ้งในปี 1978 จีนได้ส่งคณะผู้แทนจำนวนมากมาศึกษาดูงานที่สิงคโปร์ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ การบริหารจัดการเมือง และการต่อต้านการทุจริต
นอกจากนี้ ยังมีโครงการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือมากมายระหว่างสองประเทศ เช่น การพัฒนาสวนอุตสาหกรรมซูโจวในปี 1994 และเมืองนิเวศเทียนจินในปี 2007
ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจีนและสิงคโปร์ยังคงดำเนินต่อไปแม้หลังจากที่เติ้งจะเกษียณจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ Lee Kuan Yew ยังคงเดินทางไปเยือนจีนเกือบทุกปีและรักษาความสัมพันธ์กับผู้นำจีนรุ่นต่อๆ มา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่ทั้งสองประเทศให้กับความสัมพันธ์นี้
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสิงคโปร์ก็ไม่ได้ปราศจากความท้าทาย มีช่วงเวลาที่เกิดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน
แต่ทั้งสองฝ่ายก็สามารถจัดการกับความขัดแย้งเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดมั่นในหลักการของการเคารพซึ่งกันและกันและการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน
ในขณะที่จีนเติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ บทบาทของสิงคโปร์ในความสัมพันธ์นี้ก็เปลี่ยนแปลงไป จากการเป็นแบบอย่างและที่ปรึกษา สิงคโปร์ได้กลายเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีนในภูมิภาค
1
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของการเป็น “สะพาน” เชื่อมระหว่างจีนกับโลกตะวันตก ช่วยให้จีนสยายปีกในเวทีโลก
Lee Kuan Yew เคยกล่าวไว้ว่า “จีนจะไม่มาเรียนรู้จากเราที่สิงคโปร์อีกต่อไป เราจะเป็นฝ่ายไปจีนเพื่อเรียนรู้จากพวกเขา” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในพลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
แต่ก็ยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันที่ทำให้ทั้งสองประเทศเป็นที่เชิดหน้าชูตาในเวทีโลก
เมื่อมองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่าวิสัยทัศน์และความกล้าหาญของเติ้ง เสี่ยวผิง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงจีน เขาไม่เพียงแต่นำพาประเทศออกจากความยากจนและความโดดเดี่ยวเท่านั้น
แต่ยังวางรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคตด้วย การตัดสินใจของเขาที่จะเรียนรู้จากประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงคโปร์ แสดงให้เห็นถึงความเปิดกว้างทางความคิดและความสามารถในการปรับตัวที่เป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำที่ยิ่งใหญ่
แม้ว่าเติ้งจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่มรดกของเขายังคงมีชีวิตอยู่ในจีนสมัยใหม่ นโยบาย “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน” ของเขายังคงเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน
แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาต่อยอดโดยผู้นำรุ่นต่อๆ มา ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสิงคโปร์และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่เขาริเริ่มไว้ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของนโยบายต่างประเทศของจีน
เติ้ง เสี่ยวผิง แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องละทิ้งรากฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศ
เขาสามารถผสมผสานแนวคิดใหม่ๆ เข้ากับระบบที่มีอยู่เดิม สร้างสิ่งที่เรียกว่า “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน” ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของจีน นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่กำลังถวิลหาทางเลือกในการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
จากเด็กชาวนาธรรมดาสู่ผู้นำที่ขีดชะตาชีวิตของคนนับพันล้าน เรื่องราวของเติ้ง เสี่ยวผิง เป็นบทเรียนว่าวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้
1
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายและอุปสรรคมากมาย แต่หากมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายที่ถูกต้อง ทุกอย่างก็เป็นไปได้ นี่คือมรดกอันล้ำค่าที่เติ้ง เสี่ยวผิง มอบให้กับประวัติศาสตร์โลก
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
1
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา