24 มี.ค. เวลา 09:08 • หุ้น & เศรษฐกิจ

การเกิดขึ้นของโลกหลายขั้ว บทเรียนสงครามโลกครั้งที่ 2

  • การเกิดขึ้นของโลกหลายขั้ว (Multipolar World) โลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากการมีมหาอำนาจเดียวไปสู่การมีหลายศูนย์อำนาจ การที่รัสเซียแสดงอำนาจในการบุกยูเครน และจีนที่ทำตัวเหนือความขัดแย้งแต่ได้ประโยชน์อยู่เบื้องหลัง สะท้อนการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจโลกและความอ่อนแอของตะวันตก
  • บทเรียนจากประวัติศาสตร์ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 บทความเตือนถึงข้อตกลง Munich Agreement และ Hitler-Stalin Pact ที่เป็นบทเรียนสำคัญว่าการรอมชอมกับผู้รุกรานไม่นำไปสู่สันติภาพ แต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่ต้องการขยายอำนาจกระทำการรุกรานที่รุนแรงมากขึ้น
  • บทความชี้ให้เห็นว่าข้อตกลงระหว่างประเทศสามารถถูกละเมิดได้ง่าย เมื่อประเทศมหาอำนาจเห็นโอกาสในการขยายอิทธิพล ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงในสถานการณ์โลกปัจจุบันที่กลุ่มศูนย์อำนาจใหม่ต่างมีความปรารถนาที่จะขยายดินแดนภายใต้การปกครองของตน
การเกิดขึ้นของโลกที่มีหลายศูนย์ (multipolar world) ปรากฏชัดเมื่อรัสเซียแสดงอำนาจในการขยายดินแดน ด้วยการบุกเข้ายึดพื้นที่ในประเทศ Ukraine ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปี 2022 หลังจาก วลาดีมีร์ ปูติน เคยเข้ายึดแหลม Crimea ของ Ukraine ในปี 2014 มาแล้ว โดยมีปฏิกิริยาต่อต้านจากฟากตะวันตกน้อยมาก
การเข้ายึดพื้นที่ของ Ukraine และส่งรถถังเข้าถล่มเมืองหลวง Kiev เป็นการถือโอกาสที่ฟากตะวันตกมีปัญหาวุ่นวาย เช่น ที่สหรัฐฯมีปัญหาข้อขัดแย้งในการเลือกตั้งปี 2020 ที่นำไปสู่การเข้ายึดตึกรัฐสภาโดยผู้ประท้วง ขณะที่อังกฤษเองก็ตกอยู่ในภาวะสับสนจากการถอนตัวออกจาก EU (Brexit)
ด้านฝรั่งเศสกำลังจะมีการเลือกตั้ง และเยอรมนีขาดผู้นำ Angela Merkel ผู้ที่เข้าใจรัสเซียและ Putin ดีและพูดภาษารัสเซียได้ รวมทั้งการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากรัสเซียถึงร้อยละ 40 ทำให้สงครามมีผลกระทบต่อยุโรปมาก ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายใน EU พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อฮังการีเข้าข้างรัสเซีย และสหรัฐฯมีปัญหาการขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองในการให้ความช่วยเหลือ Ukraine
การคว่ำบาตรรัสเซียทางเศรษฐกิจการเงินได้ผลพอสมควรที่ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียชะงักงัน เนื่องจากต้อง ระดมทุนและแรงงานเข้าสู่ภาคการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ และแรงงานต้องเข้าสู่สนามรบ ค่าเงินรูเบิ้ลของรัสเซีย ลดลงกว่าร้อยละ 20 และอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานขึ้นสูงกว่าร้อยละ 21 มีการคาดกันว่าหากสงครามไม่จบสิ้น ภายในสองปี รัสเซียอาจจะล่มสลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะบังคับให้ต้องหาทางออกโดยการเจรจาสงบศึกในที่สุด
สถานการณ์ที่ตึงเครียดทางการทหารในยุโรปทำให้เศรษฐกิจของยุโรปเผยความอ่อนแอให้เห็นได้ชัด โดย เฉพาะผลกระทบจากราคาพลังงานและอาหารที่สูงขึ้นมาก ส่งผลกระทบต่อปัญหาค่าครองชีพสูงที่มีนัยสำคัญโดยเฉพาะสำหรับผู้มีรายได้ต่ำ นอกจากนี้ยุโรปยังต้องพึ่งการสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่อองค์การ NATO ทั้งทางด้านงบประมาณและอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อสร้างแรงถ่วงสมดุลกับอำนาจของรัสเซีย
ภาวะการเช่นนี้ทำให้ลักษณะภูมิศาสตร์ของโลกที่บ่งถึงภาวะของการมีขั้วอำนาจหลายขั้ว (multipolar world) มีความเป็นจริงปรากฏชัดขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของจีนที่ทำตัวเหนือความขัดแย้ง แต่ก็สนับสนุนรัสเซียอยู่เบื้องหลัง และได้ประโยชน์จากการได้แหล่งหลังงานที่มีราคาถูกจากรัสเซีย
ตัวอย่างของการที่รัสเซียสามารถใช้อำนาจทางการทหารเข้ายึดครองพื้นที่ของประเทศใกล้เคียงที่มีขนาดเล็กกว่ามาก นับว่าอาจเป็นตัวอย่างที่จีนจะใช้พิจารณา ในกรณีหากมีการขัดแย้งเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและทางเอเชียเหนือต่อไปในอนาคต
หากเราย้อนเวลาไปถึงช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเห็นได้ว่ามีบทเรียนที่แพงมากจากการเกิดขึ้นของ เหตุการณ์ที่ดูจะมีโอกาสจำกัดไม่ให้ลามออกไปได้ แต่ในที่สุดเมื่อทุกฝ่ายเกิดความรู้สึกที่ขาดความเป็นห่วงต่อสถานการณ์รวมทั้งขาดความกล้าหาญรับผิดชอบที่จะร่วมกันออกมายุติข้อขัดแย้งก่อนที่จะลุกลามไป จนเกิด สงครามโลกครั้งที่สองขึ้นในที่สุด
ย้อนกลับไปในวันที่ 30 กันยายน 1938 ที่เมือง Munich มีข้อตกลง ระหว่าง Nazi Germany, Fascist Italy, อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่เรียกกันว่า Munich Agreement ที่ยินยอมให้เยอรมนียึดเขต Sudetenland (ที่อ้างว่ามีคนสัญชาติเยอรมันอาศัยอยู่จำนวนกว่า 3 ล้านคน) ของประเทศ Czechoslovakia ทั้งที่ในเวลาก่อนหน้านั้น (ปี 1924 และ 1925) มีสัญญาทางการทหารกับฝรั่งเศสที่มีความหมายให้มีการประกันความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาณาเขตของ Czechoslovakia
1
นายกฯ Chamberlain ในขณะนั้นให้เหตุผลว่าข้อตกลงที่ Munich ทําให้ Hitler ตกลงว่าจะไม่รุกรานพื้นที่อื่นๆ ต่อไปในยุโรป Chamberlain ถูกหลอกให้เข้าใจว่าเขาได้ข้อตกลงที่ดีที่สุดเพื่อรักษาสันติภาพในยุโรปและใช้คำว่า เขาได้รักษา 'peace in our time ที่นักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นการรอมชอมที่มีการหักหลังกันอย่างไม่สะทกสะท้าน เพราะต่อมาไม่นานในปี 1939 Hitler ละเมิดสัญญาโดยการเข้ายึดครอง Czechoslovakia ทั้งประเทศ ซึ่งนำไปสู่การรุกรานเข้ายังประเทศ Poland และฝรั่งเศสในปี 1939 และ 1940 ในที่สุด
ในปี 1950 ประธานาธิบดี Harry Truman ของสหรัฐฯใช้อ้างประสบการณ์จาก 'Munich' เพื่อตกลงทำสงครามที่เกาหลี โดยใช้คำพูดว่า "The world learned from Munich that security cannot be bought by appeasement" นักประวัติศาสตร์บันทึกบทเรียนของการเจรจาที่มีความไร้เดียงสาและความอ่อนแอที่มักนำไปสู่การรุกราน ก้าวร้าวที่รุนแรงมากขึ้นมิใช่น้อยลง
อีกข้อตกลงจากก่อนสงครามโลกครั้งที่สองที่ควรแก่การจดจำและเรียนรู้ คือ ข้อตกลงของรัฐมนตรีต่างประเทศ ของ Soviet Union และ Nazi German คือ Molotov และ van Ribbentrop ในวันที่ 24 สิงหาคม 1939 ที่กรุง Moscow บางที่เรียกกันว่า Hitler-Stalin Pact ซึ่งตกลงกันว่าสองประเทศนี้สัญญาว่าจะไม่มีการทำสงคราม รุนแรงซึ่งกันและกัน และตกลงแบ่งพื้นที่ในยุโรปกลางและตะวันออกให้เป็นที่ครอบครองของสองประเทศ
ในช่วงนั้นการเจรจาเป็นพันธมิตรของ Soviet Union อังกฤษ และฝรั่งเศสไม่เป็นผล Soviet จึงได้หันมาตกลงกับ Nazi แทน
ในวันที่ 1 กันยายน 1939 เยอรมนีส่งทหารเข้าบุก Poland และในเวลาไล่เลี่ยกัน Soviet ก็บุกเข้ายึด Poland ซึ่งในที่สุด Poland ต้องยอมจำนนและยอมให้ Soviet และ Nazi ร่วมกันแบ่งการยึดครอง Poland ทั้งประเทศ อย่างไรก็ตามข้อตกลง Hitler-Stalin ก็สิ้นสุดลงเมื่อ Hitler ส่งทหารเข้าบุก Soviet วันที่ 22 มิถุนายน 1941 ตามแผนสงคราม Operation Barbarossa ที่ในที่สุดทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมดหลายล้านคน
ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นอดีตที่ดูจะห่างไกลออกไปแล้ว ควรจะยังมีการคำนึงถึงเมื่อเทียบกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ที่กลุ่มศูนย์อำนาจใหม่ต่างมีความปรารถนาที่จะขยายดินแดนภายใต้การปกครองของตนออกไปทั้งนั้น และความไม่เชื่อถือของสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศสามารถฉีกทิ้งได้ง่ายๆ
โฆษณา