24 มี.ค. เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ “หุ้น AI” โอกาสทองหรือฟองสบู่? บทเรียนจากยุค Dot-Com

ช่วงปลายทศวรรษ 1990 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคยประสบกับความคลั่งไคล้ในหุ้นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต หรือที่รู้จักกันว่า ฟองสบู่ดอตคอม (Dot-Com Bubble) ซึ่งดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงจากระดับไม่ถึง 1,000 จุดในปี 1995 ไปทำสถิติสูงสุดกว่า 5,000 จุดในเดือนมีนาคม 2000 (เพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่าตัว) ก่อนจะทรุดฮวบลงกว่า 76% สู่จุดต่ำสุดในปี 2002
ฟองสบู่ดอตคอมแตกทำให้หุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากมูลค่าหายวับไปกับตา หลายบริษัทต้องปิดตัว เหลือรอดเพียงไม่กี่รายที่สามารถพลิกฟื้นธุรกิจขึ้นมาได้ในทศวรรษต่อมา
ก้าวสู่ปัจจุบันตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา กระแสปัญญาประดิษฐ์บูม (AI Boom) ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมาก จนมีการเปรียบเทียบกับยุคดอตคอมเมื่อ 20 ปีก่อน นักลงทุนแห่เก็งกำไรหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างคึกคัก ส่งให้ดัชนี Nasdaq เทคโนโลยีกลับมาพุ่งแรงกว่า 90% ตั้งแต่สิ้นปี 2022 ถึงสิ้นปี 2024
แม้ว่าระดับความร้อนแรงด้านการเก็งกำไรและการประเมินมูลค่าหุ้นจะยังไม่เท่าช่วงฟองสบู่ดอตคอม แต่ก็มีเสียงเตือนว่าประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย หากความคาดหวังต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้นล้ำหน้าความเป็นจริงมากเกินไปค่ะ
วันนี้แอดจะพามทุกคนย้อนมองภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใน 2 ยุคคือ ช่วงฟองสบู่ Dot-Com (ราวปี 1995-2002) เปรียบเทียบกับช่วงกระแส AI Boom (ปี 2022-ปัจจุบัน) พร้อมทั้งวิเคราะห์เปรียบเทียบบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ดัชนีตลาดหุ้น ตลอดจนความเหมือน และความต่างระหว่าง 2 ยุคค่ะ
📈 ตลาดหุ้นเทคโนโลยี: จากยุครุ่งเรืองสู่ยุคฟองสบู่
ยุคดอตคอม (1995-2002): ช่วงปี 1995 เป็นต้นมา อินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายสู่ผู้คนทั่วไป เกิดบริษัท “ดอตคอม” (dot-com) ใหม่ๆ จำนวนมากที่เข้ามาทำธุรกิจบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่เว็บท่า (portal) อย่าง Yahoo! ไปจนถึงอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon
นักลงทุนทั้งรายย่อยและกองทุนร่วมลงทุน (VC) ต่างทุ่มเงินสนับสนุนสตาร์ทอัพเหล่านี้แม้หลายรายจะยังไม่มีโมเดลธุรกิจที่ชัดเจนหรือมีกำไรเลยก็ตาม
เกิดความกลัวว่าจะตกขบวน (FOMO: Fear Of Missing Out) ทำให้เกิดการเก็งกำไรรุนแรง ราคาหุ้นไอทีในตลาดทะยานขึ้นทุกปี โดยดัชนี Nasdaq ซึ่งรวมบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมาก เพิ่มขึ้นกว่า 400-500% ในช่วงปี 1995-2000 (จากระดับต่ำกว่า 1,000 จุดสู่ระดับกว่า 5,000 จุด)
ในขณะที่ดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นภาพรวมตลาดที่กว้างกว่าก็ปรับขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงเดียวกัน (จากราว 750 จุดในปี 1995 สู่ระดับประมาณ 1,500 จุดช่วงต้นปี 2000)
จุดพีกของความร้อนแรงอยู่ที่ เดือนมีนาคม 2000 เมื่อ Nasdaq ขึ้นไปจุดสูงสุดที่ 5,048.62 จุด (intraday 5,132 จุด) ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E ratio) ของหุ้นเทคโนโลยีโดยรวมพุ่งไปสูงเกือบ 200 เท่า ซึ่งสูงกว่าฟองสบู่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยุค 1990 ที่ P/E เคยขึ้นไปถึง 80 เท่าเสียอีก
บริษัทใหญ่ๆ ในยุคนั้นที่นักลงทุนยกให้เป็น “4 จตุรอาชา” หรือ Four Horsemen ได้แก่ Cisco Systems, Dell Computer, Microsoft และ Intel นั้นมีมูลค่าหุ้นพุ่งแรงจากแรงซื้อเก็งกำไร ซึ่งไม่ต่างจากดาวเด่นยุคปัจจุบันอย่าง Nvidia, Apple, Microsoft และ Amazon (ต่อมาเหลือ Microsoft ที่ยังเป็นบริษัทเดียวที่อยู่ในกลุ่มผู้นำทั้งสองยุค)
อย่างไรก็ดี ในปี 2000 สัญญาณฟองสบู่เริ่มปรากฏขึ้นหลังเงินทุนเริ่มตึงตัวขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องในปี 1999-2000 ทำให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้นลดความเสี่ยง ประกอบกับหลายบริษัทดอตคอมเผาเงินสดไปจนหมดโดยยังไม่สามารถสร้างกำไรได้ตามคาด ขณะที่บางรายก็ประกาศปิดกิจการกะทันหัน เช่น Pets.com ที่ล้มละลายในปลายปี 2000 กลายเป็นการตอกย้ำความเปราะบางของธุรกิจยุคดอตคอม
การควบรวมบริษัทครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นเช่นกัน (เช่น AOL ประกาศควบรวมกับ Time Warner ในเดือนมกราคม 2000) แต่ไม่ได้ช่วยพยุงความเชื่อมั่นในตลาดได้มากนัก ท้ายที่สุด ฟองสบู่ดอตคอมก็แตกลงในปี 2001
ราคาหุ้นเทคโนโลยีร่วงกันระเนระนาด นักลงทุนขาดทุนยับเยิน ดัชนี Nasdaq ซึ่งขึ้นมา 5 เท่าภายใน 5 ปีกว่ากลับดิ่งลงเกือบ 80% จากจุดสูงสุดปี 2000 ลงสู่ระดับประมาณ 1,139 จุดในเดือนตุลาคม 2002 (ซึ่งใช้เวลาถึง 15 ปีกว่าดัชนีถึงกลับไปยืนที่จุดเดิมได้อีกครั้งในปี 2015)
ส่วนดัชนี S&P500 ก็ร่วงลงราวครึ่งหนึ่งจากจุดพีก (จาก ~1,500 จุดเหลือ ~800 จุด) ก่อให้เกิดเศรษฐกิจถดถอยช่วงสั้นๆ ต้นทศวรรษ 2000 และปิดฉากยุคดอตคอมอย่างสมบูรณ์
🤖 ยุคเอไอบูม (2022-ปัจจุบัน): ปลายปี 2022 นับเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสความตื่นตัวในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เมื่อบริษัท OpenAI เปิดตัว ChatGPT ให้สาธารณชนทดลองใช้งาน
ความสามารถของ AI รุ่นใหม่ที่ตอบคำถามและสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้ใกล้เคียงมนุษย์ ได้สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก อินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยตัวอย่างผลงานของ AI ทั้งการเขียนบทความ วาดภาพ และการเขียนโค้ดโปรแกรม ส่งผลให้นักลงทุนมองว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีปฏิวัติวงการ (revolutionary technology) ครั้งใหญ่ คล้ายกับที่อินเทอร์เน็ตเคยทำไว้ในช่วงปลายยุค 90
ต้นปี 2023 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างกระโจนเข้าร่วมวง AI อย่างเต็มตัว Microsoft ประกาศลงทุนเพิ่มเติมอีก $1 หมื่นล้านใน OpenAI และผนวกเอา ChatGPT เข้ากับผลิตภัณฑ์ของตนอย่างเสิร์ช Bing และชุด Office
ขณะที่ Google (Alphabet)ก็เปิดตัว AI ผู้ช่วยของตนชื่อ Bard เข้าประกบ รวมถึงประกาศฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ AI เสริมบริการค้นหาและ Gmail
ฝั่ง Meta (Facebook) ก็หันมาชูวิสัยทัศน์ “AI First” หลังจากก่อนหน้าทุ่มไปกับเมตาเวิร์ส
ส่วน Amazon และ Apple ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ลงทุนในระบบคลาวด์และชิปประมวลผล AI เพื่อตอบโจทย์เทรนด์นี้เช่นกัน
กระแส “Generative AI” กลายเป็นคำฮิตในวงการธุรกิจ มีการนำ AI ไปประยุกต์ใช้สร้างสรรค์สื่อและบริการใหม่ๆ มากมาย สตาร์ทอัพสาย AI เกิดใหม่ดึงดูดเงินลงทุนก้อนโตตามๆ กัน (คล้ายยุคดอตคอมที่สตาร์ทอัพมักจะพ่วงคำว่า “.com” เข้าไปในชื่อด้วยเพราะจะระดมทุนได้ง่าย)
ความคาดหวังที่พุ่งสูงดันให้ ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI พุ่งทะยานในปี 2023 ทั้งๆ ที่ช่วงปี 2022 ก่อนหน้า ตลาดหุ้นโดยรวมอยู่ในภาวะซบเซาจากดอกเบี้ยขาขึ้นและเศรษฐกิจชะลอ แต่พอเข้าปี 2023 ดัชนี Nasdaq พลิกฟื้นขึ้นแรง โดยนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนตุลาคม 2022 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฝ่าแรงกดดันเศรษฐกิจขึ้นมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งในช่วงกลางปี 2024 จากแรงหนุนของหุ้นกลุ่ม AI
หุ้นบริษัทผู้นำเทคโนโลยีเพียงไม่กี่ตัวมีน้ำหนักในการลากดัชนีขึ้นอย่างมาก คล้ายยุคฟองสบู่ดอตคอมที่ตลาดถูกขับเคลื่อนโดย “จตุรอาชา” รายใหญ่ ขณะที่ในยุคนี้มีการพูดถึง “หุ้น 7 นางฟ้า” (Magnificent Seven) อันได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet (Google), Amazon, Meta, Nvidia และ Tesla ที่ราคาวิ่งแซงตลาดและครองมูลค่ามหาศาล
โดยเฉพาะ Nvidia ผู้ผลิตชิป AI ที่ได้กลายเป็นเสาหลักของธีมลงทุนนี้ โดยราคาหุ้น Nvidia พุ่งขึ้นเกือบ 4,300% ในช่วง 5 ปีก่อนกลางปี 2024 ใกล้เคียงกับที่หุ้น Cisco เคยพุ่งกว่า 4,500% ช่วงก่อนฟองสบู่ปี 2000 (ปัจจุบัน Microsoft, Apple และ Nvidia สามบริษัทรวมกันมีมูลค่าตลาดคิดเป็นกว่า 20% ของมูลค่ารวม S&P500 ซึ่งสูงสุดในรอบกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ยุคดอตคอมที่ภาคเทคโนโลยีเคยครอง 32-35% ของมูลค่าตลาดรวม)
แม้สถานการณ์ล่าสุดจะยังไม่ปรากฏชัดว่าสบู่ AI จะแตกหรือไม่ แม้จะ Nasdaq จะปรับฐานลงมาบ้าง แต่หลายฝ่ายก็จับตามองใกล้ชิดว่าหลังจากบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ลงทุนด้าน AI อย่างมหาศาลไปแล้ว รายได้จาก AI จะเกิดขึ้นแบบจับต้องได้จริงๆ เมื่อไหร่ และคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนไปหรือไม่
⭐️ ดาวรุ่งแห่งยุค: จาก AOL และ Cisco ถึง Apple และ Amazon
หนึ่งในข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างยุคดอตคอมกับยุค AI คือ สถานะและผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด ในยุคดอตคอม บริษัทที่มูลค่าพุ่งทะยานมักเป็นธุรกิจเกิดใหม่ที่ “ขายฝัน” เรื่องศักยภาพการเติบโตในอนาคต แต่งบดุลในปัจจุบันยังเล็กน้อยและขาดทุนสะสม
ในทางกลับกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ยุคปัจจุบันเป็นองค์กรที่มีรายได้หลายแสนล้านดอลลาร์และมีกำไรจริงจัง ซึ่งส่งผลทำให้เสถียรภาพของตลาดต่างกันอยู่มาก
ดังนั้นความแตกต่างกันที่ชัดเจนระหว่าง 2 ยุคคือ รายได้ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในยุคนี้ที่บางรายมีรายได้มากกว่าบริษัทยุคดอตคอมเป็นสิบๆ เท่า (Amazon มีรายได้มากกว่า Cisco ยุคดอตคอมประมาณ 27 เท่า และ Apple มากกว่า Yahoo! ยุคนั้น กว่า 300 เท่า) อีกทั้งบริษัทยุคนี้ส่วนใหญ่มีผลกำไรที่ชัดเจน ในขณะที่ยุคดอตคอมหลายบริษัทกำไรเป็นศูนย์หรือติดลบ
สาเหตุที่ธุรกิจยุคใหม่ทำเงินได้มหาศาลส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ตลาดผู้บริโภคและระบบออนไลน์เติบโตเต็มที่แล้ว ยกตัวอย่าง Amazon ทุกวันนี้ไม่ได้ขายแค่หนังสือ แต่ขายแทบทุกอย่างทั่วโลก มีระบบคลังสินค้าและโลจิสติกส์ครบวงจร รวมถึงบริการคลาวด์ (AWS) ที่ทำกำไรสูง ส่วน Apple เองก็สร้างระบบนิเวศอุปกรณ์และบริการดิจิทัลที่ลูกค้าจำนวนมากยอมจ่าย
ขณะที่ในยุคดอตคอมเมื่อ 20 ปีก่อน ฐานผู้ใช้อินเทอร์เน็ตยังมีไม่ถึงพันล้านคนทั่วโลก และความเร็วอินเทอร์เน็ตก็ต่ำมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน โมเดลธุรกิจหาเงินจากออนไลน์ยังจำกัด (ส่วนใหญ่คือโฆษณาแบนเนอร์และค่าสมาชิกรายเดือน) ต่างจากปัจจุบันที่การทำธุรกรรมออนไลน์และการโฆษณาดิจิทัลกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันไปแล้ว
นอกจากรายได้ที่แตกต่าง สิ่งที่ต่างกันชัดคือ “ความสามารถในการทำกำไร” และความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทยุคใหม่ซึ่งดีกว่ายุคดอตคอมมาก โดยในช่วงปี 2000 บริษัทดังอย่าง Cisco มีค่า P/E เฉลี่ยสูงเกิน 100 เท่า (เคยแตะ 131 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2000)
ขณะที่ Nvidia ในปี 2023 แม้ราคาหุ้นจะพุ่งแรงแต่ P/E อยู่ที่ประมาณ 40 เท่า ซึ่งถือว่ายังอยู่ในระดับที่นักลงทุนรับได้เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรจริง นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังชี้ว่าการปรับตัวขึ้นรอบนี้ ได้แรงหนุนจากแนวโน้มกำไรบริษัทที่เติบโตควบคู่ไปด้วย ไม่ได้อาศัยแค่การเก็งกำไรล้วนๆ เหมือนปลายยุค 90
ทำให้บริษัทกลุ่มเทคฯ ยุคนี้มีการเติบโตของกำไรนำหน้าตลาดรวม ต่างจากยุคดอตคอมที่กำไรแทบไม่มี แต่หุ้นขึ้นเพราะนักลงทุน “เฮโล” ซื้อหวังอนาคต ทำให้เรากล่าวได้ว่าพื้นฐานแข็งแกร่งกว่าตอนนั้นมากๆ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทั้งสองยุคมีเหมือนกันคือ บรรยากาศความคึกคักและความคาดหวังสูงเกินจริงของนักลงทุน
ในช่วงขาขึ้น ช่วงปลายปี 1999 มีคำกล่าวว่า “ใครๆ ก็ลงทุนหุ้นไอทีแล้วรวย” คนธรรมดาก็เปิดพอร์ตซื้อขายหุ้นดอตคอมแบบไม่สนพื้นฐาน คล้ายกับปี 2023 ที่หุ้นอย่าง Nvidia, Tesla หรือแม้แต่บริษัทเล็กๆ ที่ประกาศตัวว่าทำธุรกิจ AI ก็มักได้อานิสงส์หุ้นขึ้นแรง
อีกทั้ง ทั้งสองยุคต่างได้รับการโปรโมตว่าเป็น “เทคโนโลยีแห่งอนาคต” ที่จะเปลี่ยนโลก ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมทุกคนไว้ด้วยกัน หรือตอนนี้คือ AI ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์จากยุคดอตคอมสอนเราว่า แม้แนวโน้มเทคโนโลยีระยะยาวจะเป็นจริง แต่การคาดการณ์ผลประกอบการระยะสั้นของธุรกิจใหม่มักเกินจริงเสมอ
ยุคดอตคอมหลายบริษัทประเมินว่าตลาดอีคอมเมิร์ซและโฆษณาออนไลน์จะโตแบบไร้ขีดจำกัด จึงทุ่มลงทุนและโฆษณามากเกินไปจนขาดทุนยับ (บริษัทดอตคอมบางแห่งทุ่มเม็ดเงินกว่า 90% ของงบประมาณไปกับการตลาดเพื่อเพิ่มยอดผู้ใช้ โดยไม่ทันคำนึงถึงความคุ้มค่า)
ส่วนยุค AI ปัจจุบัน หลายบริษัทโดยเฉพาะสตาร์ทอัพก็เร่งพัฒนา AI โดยยังไม่ชัดเจนว่าจะสร้างรายได้มหาศาลจากมันอย่างไร อาศัยแต่เงินระดมทุนไปวันๆ เช่นเดียวกับดอตคอมยุคก่อนที่พึ่งเงิน VC และการขายหุ้น IPO
🫧 ฟองสบู่แตก: บทเรียนอดีตและความเสี่ยงในอนาคต
อะไรทำให้ฟองสบู่ดอตคอมแตก? – กรณีศึกษายุคดอตคอมแสดงให้เห็นว่า ปัจจัยสำคัญคือ การขาดความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจ บริษัทเกิดใหม่ส่วนใหญ่ในปลายยุค 90 พยายาม “เผาเงิน” ขยายฐานผู้ใช้อย่างเดียวโดยไม่มีแผนทำกำไรชัดเจน แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักลงทุนเริ่มถามหาผลตอบแทนจริงๆ บริษัทไหนที่ไปต่อไม่ไหวก็ต้องปิดตัว (เช่นเว็บขายสินค้าออนไลน์อย่าง Pets.com, Webvan ที่หมดทุนดำเนินการและล้มละลาย) เมื่อมีบางรายพัง นักลงทุนก็ขาดความเชื่อมั่นและเริ่มเทขายหุ้นในกลุ่มเดียวกันเป็นโดมิโน
อีกปัจจัยหนึ่งคือ สภาพคล่องทางการเงินที่เปลี่ยนแปลง – ในช่วงที่ฟองสบู่ก่อตัว อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ต่ำ เงินทุนไหลเข้าหาธุรกิจเกิดใหม่ง่าย แต่พอ Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งในปี 1999-2000 เงินทุนก็หดหาย ความคึกคักกลายเป็นความตระหนักถึงความเสี่ยง
ยิ่งพอเศรษฐกิจชะลอตัวในปี 2001 (ประกอบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างวิกฤตการณ์ 9/11) ก็ยิ่งซ้ำเติมให้ตลาดหุ้นปรับฐานแรงจนฟองสบู่แตกในที่สุด หุ้นที่เคยขึ้นมาหลายเท่าตัวก็ “คืนกำไร” หมดเกลี้ยง ส่วนดัชนี Nasdaq ก็ร่วงลงไปต่ำกว่าระดับก่อนฟองสบู่ (ดัชนีคืนสู่จุดเดิมก่อนปี 1995) เรียกได้ว่าผู้ที่เข้ามาลงทุนตอนท้ายขาดทุนแทบทั้งหมด
⚠️ แล้วฟองสบู่ AI ตอนนี้มีความเสี่ยงจะแตกหรือไม่?
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าแม้กระแส AI จะร้อนแรง แต่องค์ประกอบหลายอย่างต่างจากยุคดอตคอมอยู่พอสมควร อย่างที่กล่าวไปคือ บริษัทขนาดใหญ่ที่นำกระแสนี้มีพื้นฐานการเงินแข็งแรงและมีกำไรจริง (ต่างจากยุคดอตคอมที่บริษัทนำตลาดอย่าง Cisco เองยังมูลค่าสูงเกินพื้นฐาน) ตัวอย่างเช่น หุ้น Nvidia ปัจจุบันแม้ราคาจะสูง แต่เทรดที่ P/E ~40 เท่า ขณะที่หุ้น Cisco เคยเทรดที่ P/E เกิน 130 เท่าในปี 2000
ทั้งหมดนี้แปลว่าหุ้นยุค AI มี “กันชน” รองรับจากกำไรจริงอยู่พอควร ไม่ได้เป็นการเก็งอนาคตล้วนๆ
ขณะที่ในภาพรวม อัตราส่วนราคา/กำไรของดัชนี S&P500 ตอนนี้อยู่ราว 24 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวแต่ยังต่ำกว่าระดับ 30 เท่าช่วงปี 1999-2000 ก่อนฟองสบู่แตก
นอกจากนี้ระดับความฮึกเหิมของนักลงทุน (investor bullishness) ในเชิงสถิติก็ยังไม่สุดโต่งเท่ายุคดอตคอมอย่างช่วงปลายยุค 90 ที่ใครๆ ก็พูดว่าหุ้นจะมีแต่ขาขึ้นไม่มีขาลง แต่ในปี 2023-2024 นี้ก็ยังมีนักลงทุนจำนวนมากที่ระวังตัวและแบ่งพอร์ตไปสินทรัพย์อื่น (หรือพูดอีกแบบคือไม่ FOMO เท่าก่อน)
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่ฟองสบู่ AI อาจแตกก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะราคาหุ้นที่ขึ้นเร็วมากๆ ในระยะสั้นมักสะท้อนความคาดหวังในอนาคตไปไกลแล้ว หากอนาคตจริงไม่เป็นไปตามคาด ตลาดก็พร้อมจะเทขายปรับมูลค่าลง โดยตัวอย่างใกล้ตัวคือ หุ้นกลุ่มเมตาเวิร์สและคริปโตเคอเรนซีที่บูมในปี 2021 แล้วฟุบในปี 2022 เมื่อกระแสเปลี่ยน
ดังนั้นสำหรับ AI แม้ว่าศักยภาพระยะยาวจะสดใส แต่นักลงทุนระยะสั้นอาจผิดหวังได้หากกำไรหรือผลิตภัณฑ์ AI ใหม่ๆ ไม่โผล่มาให้เห็นตาม timeline ที่วาดฝันไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยมหภาค เช่น ดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงและมีแนวโน้มทรงตัวนาน จะยังคงเป็นตัวถ่วงการประเมินมูลค่าหุ้น (ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกำไรอนาคตลดลง)
รวมถึงหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยหรือมีเหตุให้กำไรบริษัทใหญ่สะดุด หุ้น Big Tech ที่แบกตลาดมาก็อาจถูกขายปรับฐานแรงได้ทุกเมื่อ
อีกด้านหนึ่ง การแข่งขันและกฎระเบียบ ก็เป็นตัวแปรสำคัญ เทคโนโลยี AI กำลังถูกแข่งพัฒนาโดยหลายบริษัท ทั้งยักษ์ใหญ่และผู้ท้าชิง การแข่งขันสูงอาจทำให้กำไรต่อหน่วยของธุรกิจลดลงกว่าที่คาด (เช่น บริการ generative AI อาจกลายเป็น commodity ในอนาคตจนเก็บเงินได้ยาก)
นอกจากนี้รัฐบาลทั่วโลกเริ่มพิจารณาออกกฎหมายควบคุมการใช้ AI เพื่อความปลอดภัยและจริยธรรม ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนให้บริษัทและจำกัดบางโมเดลธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความไม่แน่นอนที่นักลงทุนต้องติดตามกันต่อไปค่ะ
‼️บทเรียนจากฟองสบู่ดอตคอม ที่ยังใช้ได้ในวันนี้คือ “อย่าละเลยพื้นฐาน”
การลงทุนตามกระแสเทคโนโลยีแม้ให้ผลตอบแทนสูงในช่วงขาขึ้น แต่หากไม่ศึกษาปัจจัยพื้นฐานให้รอบคอบก็เสี่ยงจะเจ็บตัวหนักเมื่อกระแสเปลี่ยน และยุคดอตคอมสอนให้รู้ว่า ไม่ใช่ทุกบริษัทจะอยู่รอดถึงวันเก็บเกี่ยว หลายไอเดียดีแต่ไปไม่รอดทางธุรกิจ
ในยุค AI นี้ แม้บริษัทใหญ่ๆ คงไม่ล้มง่ายๆ แต่บริษัทเล็กๆ หรือสตาร์ทอัพจำนวนมากที่เกิดขึ้นก็อาจหายไปในไม่กี่ปีข้างหน้าได้เช่นกัน ผู้ลงทุนจึงควรคำนึงเสมอว่า “ของใหม่” ทุกยุคย่อมมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ การกระจายการลงทุนและประเมินมูลค่าให้เหมาะสมกับความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งฟองสบู่ดอตคอมและกระแสเอไอบูมต่างชี้ให้เห็นถึงวัฏจักรความโลภและความกลัวในตลาดทุนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เมื่อมีนวัตกรรมเปลี่ยนโลกเข้ามา ความท้าทายคือเราจะเรียนรู้จากอดีตและปรับใช้กับปัจจุบันได้อย่างไร
ฟองสบู่ดอตคอมแตกไปแล้ว แต่ก็ส่งไม้ต่อให้ยุคอินเทอร์เน็ตที่รุ่งเรืองตามมาอีกหลายทศวรรษ เช่นเดียวกัน วันนี้กระแส AI กำลังขับเคลื่อนโลก หากนักลงทุนเลือกลงทุนอย่างมีสติและมองการณ์ไกล โอกาสจากปัญญาประดิษฐ์ก็อาจสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้ไม่แพ้ที่อินเทอร์เน็ตเคยทำไว้ค่ะ
โฆษณา