แม้สถานการณ์ล่าสุดจะยังไม่ปรากฏชัดว่าสบู่ AI จะแตกหรือไม่ แม้จะ Nasdaq จะปรับฐานลงมาบ้าง แต่หลายฝ่ายก็จับตามองใกล้ชิดว่าหลังจากบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ลงทุนด้าน AI อย่างมหาศาลไปแล้ว รายได้จาก AI จะเกิดขึ้นแบบจับต้องได้จริงๆ เมื่อไหร่ และคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุนไปหรือไม่
⭐️ ดาวรุ่งแห่งยุค: จาก AOL และ Cisco ถึง Apple และ Amazon
หนึ่งในข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างยุคดอตคอมกับยุค AI คือ สถานะและผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด ในยุคดอตคอม บริษัทที่มูลค่าพุ่งทะยานมักเป็นธุรกิจเกิดใหม่ที่ “ขายฝัน” เรื่องศักยภาพการเติบโตในอนาคต แต่งบดุลในปัจจุบันยังเล็กน้อยและขาดทุนสะสม
ดังนั้นสำหรับ AI แม้ว่าศักยภาพระยะยาวจะสดใส แต่นักลงทุนระยะสั้นอาจผิดหวังได้หากกำไรหรือผลิตภัณฑ์ AI ใหม่ๆ ไม่โผล่มาให้เห็นตาม timeline ที่วาดฝันไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยมหภาค เช่น ดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงและมีแนวโน้มทรงตัวนาน จะยังคงเป็นตัวถ่วงการประเมินมูลค่าหุ้น (ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกำไรอนาคตลดลง)
รวมถึงหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยหรือมีเหตุให้กำไรบริษัทใหญ่สะดุด หุ้น Big Tech ที่แบกตลาดมาก็อาจถูกขายปรับฐานแรงได้ทุกเมื่อ
อีกด้านหนึ่ง การแข่งขันและกฎระเบียบ ก็เป็นตัวแปรสำคัญ เทคโนโลยี AI กำลังถูกแข่งพัฒนาโดยหลายบริษัท ทั้งยักษ์ใหญ่และผู้ท้าชิง การแข่งขันสูงอาจทำให้กำไรต่อหน่วยของธุรกิจลดลงกว่าที่คาด (เช่น บริการ generative AI อาจกลายเป็น commodity ในอนาคตจนเก็บเงินได้ยาก)
นอกจากนี้รัฐบาลทั่วโลกเริ่มพิจารณาออกกฎหมายควบคุมการใช้ AI เพื่อความปลอดภัยและจริยธรรม ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนให้บริษัทและจำกัดบางโมเดลธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความไม่แน่นอนที่นักลงทุนต้องติดตามกันต่อไปค่ะ