เมื่อวาน เวลา 04:19 • ธุรกิจ

เวียดนามจ่อแซงธุรกิจเกษตรไทย เอกชนจี้รัฐพัฒนาก่อนเสียแชมป์

ผู้ประกอบการไทย หวั่นเสียแชมป์ด้านการเกษตร เผยไทยเริ่มอิ่มตัว ขณะที่เวียดนามเร่งสปีดจี้หลังและมาแรง แม้แบรนด์ไทยยังขายได้แต่ไม่ยั่งยืนหากรัฐไม่เร่งพัฒนา
เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) 10 ประเทศในปี 2566 ล่าสุด ประเทศไทยมูลค่าจีดีพีขยายตัวต่ำสุดในอาเซียน 1.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 อาจมองได้ว่าประเทศไทยอยู่ในจุดอิ่มตัวจึงเริ่มชะลอการเติบโต แต่อีกมุมคือการพัฒนาที่กำลังลดน้อยลง
แม้ผู้ประกอบการไทยในหลากหลายธุรกิจที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ยังคงมีศักยภาพสูง เดินหน้าแข่งขันในอยู่ตลาดโลกได้ แต่หลายธุรกิจกลับวนเวียนอยู่ในจุดเดิมและมองข้ามคู่แข่งใกล้ตัว โดยเฉพาะ "ภาคการเกษตร" ที่ประเทศไทยมองข้ามประเทศเพื่อนบ้าน และอาจไม่รู้ตัวว่า "เวียดนามมาแรงแซงเงียบ" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคเดียวกันที่พร้อมสปีดสู้ไทยในทุกอุตสาหกรรม
นางสาววัชรา ลี้โกมลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท CLP ผู้ผลิตและออกแบบนวัตกรรมด้านการเกษตร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้ประเทศไทยจะผลิตสินค้าเกษตรเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบัน ผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมการผลิตสินค้าเพื่อการเกษตรมีอยู่ไม่มากนัก ฉะนั้นการแข่งขันในประเทศจึงมีเพียงไม่กี่ราย แต่คู่แข่งที่น่ากลัวของผู้ประกอบการไทยคือ “เวียดนาม” และเป็นประเทศที่คนไทยไม่แข่งด้วยและมักจะมองข้าม
“เวียดนามน่ากลัวเพราะการผลิตสินค้าและบริการต่างๆ ยังไม่อิ่มตัว และปัจจุบันก็ยังแสวงหาโอกาส พัฒนาระบบการจัดการในธุรกิจต่างๆ พร้อมลงมือทำทันที นอกจากนี้ยังมีความรวดเร็วจากการสนับสนุนของภาครัฐ พร้อมส่งเสริมผูู้ประกอบการภายในประเทศ แม้ผู้ประกอบการต่างชาติจะเข้าไปได้แต่หนีไม้พ้นการถูกดึง Know-how หลังจากนั้นก็ไปต่อได้ยาก”
ประเทศไทย VS ประเทศเวียดนาม
ในทุกอุตสาหกรรมตอนนี้ไทยถือว่าเริ่มอยู่ในจุดอิ่มตัวมากกว่าเวียดนาม หยุดนิ่งในการพัฒนามากกว่า ตั้งแต่การพัฒนาในระดับแรงงานเป็นต้นไป ทั้งขาดแรงตระตุ้นสำหรับการแข่งขัน รวมทั้งความเด็ดขาดในการวางโยบายของภาครัฐ ทำให้ทุกอย่างล่าช้ามากกว่าเวียดนาม โดยเฉพาะภาคการเกษตร อย่างเรื่อง "ข้าว" จะเห็นภาพได้อย่างชัดเจน เพราะการผลิตข้าวของเวียดนามจี้หลังการผลิตข้าวไทย และแซงจนไทยเสียแช้มป์มาหลายปีแล้ว
เวียดนามทุ่มงบประมาณทำ R&D (Research and Development) เกี่ยวกับพันธุ์ข้าวทั้งการวิจัยและพัฒนาเป็นจำนวนมาก ขณะที่ประเทศไทยกลับล้าหลังในเรื่อง พื้นฐานของโครงสร้าง R&D ทำให้การแข่งขันกับเวียดนามในปัจจุบันค่อนข้างยาก นอกจากนี้ค่าแรงของเวียดนามก็ถูกกว่าไทย สามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากกว่า
นางสาววัชรา กล่าวว่า สิ่งที่ประเทศไทยทำได้คือการพัฒนาและมองในมุมต่าง ว่าประเทศไทยยังคงมีแบรนด์ดิ้งที่ดีกว่าประเทศเวียดนาม อาจสู้ราคำต่ำได้ยากแต่แบรนด์ยังเป็น Top of mind สำหรับผู้บริโภคในตลาดโลก ซึ่งในระยะยาวหากไม่รีบพัฒนาต่ออาจไม่ยั่งยืน เพราะนอกจากภาคการเกษตรแล้วตอนนี้การท่องเที่ยวของเวียดนามก็มาแรง รวมถึงภาคธุรกิจเฮลท์แคร์ สปา ที่อยู่ในทิศทางคล้ายกับกับไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเปรียบเทียบไทยกับเวียดนามมากขึ้น
“หากพูดถึงการแข่งขันไทยเราจะมองไปจีนและมองข้ามเวียดนาม อย่างในภาคการเกษตรและธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องจักรกลทางการเกษตร คุณภาพการผลิตของเวียดนามก็ไม่แพ้ไทย นอกจากนี้ภูมิภาคเวียดนามยังได้เปรียบไทยหลายพื้นที่ หลายอุตสาหกรรม ฉะนั้นตอนนี้รัฐบาลต้องสร้างความชัดเจน ว่านโยบายของไทยจะออกมาในทิศทางไหน และมองตัวเลขภาคการเกษตรที่ไม่ใช่เพียงแค่การส่งออกผลผลิต แต่ต้องมองถึงสินค้านวัตกรรมอื่นที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงหรือถูกผลักดันอย่างจริงจัง ซึ่งจะสามารถทดแทนกันได้และสามารถสร้างการเติบโต้ได้ตั้งแต่ในระดับท้องถิ่น”
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีโอกาสในธุรกิจการเกษตร เพราะหลายประเทศต้องการที่จะสร้าง Supply Chain เป็นของตัวเอง และต้องการซัพพลายเออร์สำหรับอุปกรณ์ในการผลิตที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการไทยจะต้องได้รับการผลักดันถึงจะมีโอกาสในส่วนนี้ โดยเฉพาะความสามารถในด้านนวัตกรรม เพราะหากมองในภาพรวมการถูกส่งเสริมด้านนวัตกรรมจะยังยืนกว่าการส่งออกสินค้าเกษตรโดยตรง
โฆษณา