Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลงทุนแมน
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
25 มี.ค. เวลา 07:10 • ธุรกิจ
Samsung เริ่มจากขายปลาแห้ง วันนี้ผลิตชิป เบอร์ 2 ของโลก
ถ้าเราหลุดย้อนเวลากลับไปเมื่อ 87 ปีที่แล้ว ที่เมืองแทกู ประเทศเกาหลีใต้ แล้วตะโกนบอกว่า Samsung จะเป็นผู้ผลิตชิป เบอร์ 2 ของโลก
คนในยุคนั้น ก็คงคิดว่าเราเสียสติไปแล้ว และอาจถามกลับว่า ชิปคืออะไร ทำไม Samsung ต้องไปขายของอะไรแบบนั้น ?
เพราะตอนนั้นคุณ Lee Byung-chul พร้อมคนงาน 40 คน สร้าง Samsung ขึ้นมาเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ด้วยการขายปลาแห้ง ก่อนจะขายน้ำตาล และอื่น ๆ ตามมา
Samsung เปลี่ยนจากขายปลาแห้ง น้ำตาล
มาเป็นผู้ผลิตชิป เบอร์ 2 ของโลกได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
คุณ Lee Byung-chul เริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ชื่อว่า Samsung ในเมืองแทกู ประเทศเกาหลีใต้ ด้วยการขายปลาแห้ง ก๋วยเตี๋ยว ผักและผลไม้ทั่วไป
ซึ่งธุรกิจก็ดูเหมือนจะไปได้ดี แต่เกาหลีใต้ กลับต้องเจอสงครามใหญ่ 2 ครั้งต่อเนื่องกัน นั่นคือสงครามโลกครั้งที่ 2 และตามมาด้วยสงครามเกาหลี
ทำให้ Samsung ในช่วงแรก ต้องไปขายอย่างอื่นเพิ่มเติม เพื่อเอาตัวรอด ไล่ตั้งแต่ไม้อัด น้ำตาล ปุ๋ย ประกันภัย และอื่น ๆ อีกมากมาย
ต่อมาในปี 1947 คุณ Lee Byung-chul ก็เจอ
คุณ Cho Hong-jai ที่กลายเป็นพาร์ตเนอร์คนสำคัญ ในการสร้างอาณาจักร Samsung ไปด้วยกัน
1
แต่ท้ายที่สุด ด้วยสไตล์การทำงานที่ต่างกัน ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจแตกธุรกิจออกเป็นหลายส่วน และแยกกันดูแล ซึ่งคุณ Lee Byung-chul จะดูแล Samsung Group เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม แม้จะทำหลายธุรกิจ แต่ชื่อเสียงของ Samsung กลับเป็นธุรกิจที่เชี่ยวชาญเรื่องปุ๋ยและน้ำตาล ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากนัก
แต่ Samsung ก็ไม่ได้หยุดตัวเองอยู่แค่นั้น แม้จะเป็นธุรกิจที่แข่งได้ในประเทศก็จริง แต่การแข่งกับประเทศอื่นได้ ต้องมีสินค้าที่ดีกว่านี้
ทำให้พวกเขา เริ่มชายตามามองธุรกิจไฮเทค ที่สามารถสร้างสินค้ามูลค่าสูงขึ้นได้
อย่างไรก็ดี การขยายธุรกิจก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะ Samsung แทบไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจเทคโนโลยีเลย เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น ที่เป็นเจ้านวัตกรรมในตอนนั้น
พอเป็นแบบนี้ ในปี 1969 คุณ Lee Byung-chul จึงก่อตั้ง Samsung Electronics ขึ้น และทำในสิ่งที่สวนกระแสในขณะนั้น ที่มีการต่อต้านญี่ปุ่น ในเกาหลีใต้
นั่นคือ การไปร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น.. เพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีขั้นสูง
และด้วยความเป็นแชโบล หรือธุรกิจขนาดใหญ่ของ Samsung ทำให้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีใต้
เมื่อได้ไฟเขียวจากรัฐบาล Samsung ก็เดินหน้า
ร่วมมือกับ Sanyo และ Sumitomo จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อรับจ้างผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ
ตัวอย่างเช่น โทรทัศน์ เครื่องคิดเลข ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า จนทำให้ Samsung สามารถเรียนรู้เบื้องหลังเทคโนโลยีไปด้วยในตัว
และในปี 1974 หลังจาก Samsung เริ่มเข้าใจธุรกิจเทคโนโลยีมากขึ้น จึงตัดสินใจเข้าซื้อ Hankook Semiconductor ที่กำลังล้มละลาย
ซึ่งตรงนี้เอง ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ Samsung ในธุรกิจชิปหรือเซมิคอนดักเตอร์ และ Samsung ก็จะใช้ท่าเดิม ในการเรียนรู้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในตลาดแล้ว
นั่นคือ การนำเข้าเทคโนโลยีผลิตชิปหน่วยความจำจาก Micron Technology จากสหรัฐฯ และ Sharp Corporation จากประเทศญี่ปุ่น มาต่อยอด
โดยชิปหน่วยความจำนี้ ทำหน้าที่เหมือนกับสถานที่เก็บข้อมูล ก่อนส่งไปประมวลผล และเป็นสะพาน ที่ส่งคำสั่งประมวลผล ไปแสดงผลอีกครั้งหนึ่ง
พูดให้เห็นภาพ คือ ตอนที่เรา Double-click เข้าโปรแกรมอะไรสักอย่าง ชิปหน่วยความจำ ก็จะรับคำสั่งคลิก แล้วส่งไปที่หน่วยประมวลผล จากนั้นส่งคำสั่งกลับมาเปิดโปรแกรมนั้นขึ้นมา
ซึ่งตอนแรก ตลาดชิปหน่วยความจำ ถูกบริษัทญี่ปุ่น ครองตลาด จากความสำเร็จในการนำชิปหน่วยความจำ ของสหรัฐฯ มาพัฒนา ให้ดีกว่า ถูกกว่า จนเป็นสินค้าส่งออกไปทั่วโลก
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคิดเลข กล้องถ่ายรูป หรือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ก็ต้องใช้ชิปหน่วยความจำทั้งนั้น
แต่ก็ทำให้สหรัฐฯ ที่เป็นต้นกำเนิดเทคโนโลยีนี้
กลับเสียดุลการค้ากับญี่ปุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะบริษัทของสหรัฐฯ ผลิตสินค้าแบบนี้สู้ไม่ได้
ซึ่งเรื่องนี้ ทำให้สหรัฐฯ และญี่ปุ่น เปิดสงครามการค้าระหว่างกัน และกลายเป็นว่า Samsung ได้ประโยชน์ในความขัดแย้งครั้งนี้แทน
Samsung ค่อย ๆ พัฒนาเทคโนโลยีชิปความจำของตัวเอง จนมีประสิทธิภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นชิปความจำ SDRAM หรือ NAND ที่ใช้กับกล้องถ่ายรูป
ทำให้มีลูกค้าเข้ามาสั่งซื้อชิปความจำจาก Samsung มากขึ้นเรื่อย ๆ และลูกค้าหลักก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือบริษัทจากสหรัฐฯ ที่ขัดแย้งกับญี่ปุ่นนั่นเอง..
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน Samsung กลายมาเป็นผู้ผลิตชิป เบอร์ 2 ของโลก ตามหลัง TSMC จากไต้หวัน ที่เป็นผู้ผลิตชิปให้กับคนกว่าครึ่งโลก
ซึ่งตอนนี้ Samsung Electronics ก็ไม่ได้ผลิตชิปเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีสมาร์ตโฟน กล้อง จอภาพ อุปกรณ์ IoT และอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยหากเราไปดูผลประกอบการของ Samsung Electronics ในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่า
ปี 2022 รายได้ 7.0 ล้านล้านบาท
กำไร 1.3 ล้านล้านบาท
ปี 2023 รายได้ 6.0 ล้านล้านบาท
กำไร 0.3 ล้านล้านบาท
ปี 2024 รายได้ 7.0 ล้านล้านบาท
กำไร 0.8 ล้านล้านบาท
ปัจจุบัน Samsung กำลังโฟกัสกับการผลิตชิปประมวลผลที่ราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะชิปที่มีความซับซ้อนสูงอย่าง เทคโนโลยี 3, 5, 7 นาโนเมตร ซึ่งคู่แข่งคนสำคัญคือ TSMC จากไต้หวันนั่นเอง
นอกจากนี้ Samsung ก็กำลังพัฒนากระบวนการผลิตชิปขนาด 2 นาโนเมตร
และตั้งเป้าที่จะผลิตชิปขนาด 1.4 นาโนเมตร ภายในปี 2027 ด้วย
ก็ไม่น่าเชื่อว่า Samsung ที่เริ่มต้นจากธุรกิจขายน้ำตาล ปลาแห้งเล็ก ๆ ในเกาหลีใต้ จะเติบโตและยิ่งใหญ่เป็นบริษัทระดับโลกได้
แต่ถ้าเราลองสังเกตดี ๆ สิ่งหนึ่งที่ยังอยู่ใน DNA ของ Samsung คือ การเป็นธุรกิจที่ขายของจำเป็นในชีวิตประจำวัน ให้กับคนเกาหลีใต้
มาวันนี้ ก็แค่เปลี่ยนจากของกิน มาขายชิป สมาร์ตโฟน และอีกมากมาย ที่เป็นสินค้าในชีวิตประจำวันเหมือนกัน แต่ลูกค้า กลายเป็นคนทั้งโลกแทน..
9 บันทึก
24
6
9
24
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
โฆษณา
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย