25 มี.ค. เวลา 12:02 • ธุรกิจ

เอเจนซีโฆษณาในยุคที่เจ้าของแบรนด์มีทุกอย่างอยู่ในมือ

ไม่ว่าจะเป็น Brand Builder, Marketer, Creative, Designer, Production, Media และ AI จะต้องปรับตัวอย่างไร?
1. เปลี่ยนจาก “Service Provider” เป็น “Strategic Partner”
เอเจนซีต้องเลิกมองตัวเองเป็นแค่ผู้ให้บริการ (Vendor) และกลายเป็นที่ปรึกษายุทธศาสตร์ทางการตลาดที่ช่วยแบรนด์มองภาพใหญ่กว่าที่ AI หรือทีม In-house ทำได้ เช่น
• การช่วยแบรนด์มองหา “Unseen Opportunities” ที่ AI ยังวิเคราะห์ไม่ได้
• การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการสร้าง Brand DNA, Brand Positioning และ Long-term Strategy
• การเป็น “The Brain” ที่ช่วยสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่งและสร้างกลยุทธ์ที่แตกต่าง
2. เชี่ยวชาญ “High-Concept Creativity” ที่ AI ทำไม่ได้
ถึง AI จะเก่ง แต่ความคิดสร้างสรรค์ระดับ “Original Idea” และ “Cultural Insight” ยังต้องอาศัยมนุษย์ที่เข้าใจความรู้สึกและบริบทของตลาด เช่น
• Big Idea ที่ทรงพลัง ไม่ใช่แค่การสร้างแคมเปญโฆษณา แต่เป็นไอเดียที่นำไปสู่ Product Innovation หรือ Brand Movement
• สร้างสรรค์ IDEA โดยยึดเกณฑ์ 1) Creativity 2) Customer Insightful / Relevance 3) Fresh Idea 4) World Class Idea เพื่อให้เกิด Viral และ !MPACT กับ แคมเปญสื่อสารการตลาดต่างๆ ที่ AI ยังทำไม่ได้
• Human-Centric Storytelling AI อาจสร้าง Copywriting หรือภาพสวยๆ ได้ แต่ Storytelling เชิงลึกที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและอารมณ์ผู้บริโภคยังต้องอาศัยมนุษย์
3. ทำหน้าที่เป็น Orchestrator – เชื่อมโยงทุกอย่างให้เป็นระบบ
ถึงแม้แบรนด์จะมีทุกอย่างอยู่ในมือ แต่สิ่งที่ขาดคือ “ความเป็นหนึ่งเดียวของภาพรวม” เอเจนซีสามารถเป็น Orchestrator ที่ช่วยประสานระหว่างทีม In-house, AI, และ Partner ต่างๆ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. สร้าง “AI-Enhanced Creativity” แทนที่จะสู้กับ AI
แทนที่จะมอง AI เป็นคู่แข่ง เอเจนซีควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพ เช่น
• ใช้ AI วิเคราะห์ Data และสร้าง Consumer Insight ลึกขึ้น
• ใช้ Generative AI ในการช่วยสร้าง Visual หรือ Copywriting เพื่อเพิ่มความเร็ว
• ใช้ Machine Learning เพื่อ Optimize Media Buying และ Personalization
5. สร้าง Bran Model / DNA และ Business Model ใหม่ที่ Beyond Advertising
เอเจนซีต้องรู้จักตัวตนของตัวเอง รู้จักจุดแข็งของตัวเองโดยการค้นหา Brand DNA ที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตัวเอง ทิศทางของ Business Model ต้องแตกไลน์จากแค่การทำโฆษณา ไปสู่การสร้าง Brand Experience, Product Innovation และ Venture Building เช่น
• ช่วยแบรนด์พัฒนา Product & Service ใหม่
• ร่วมลงทุนกับแบรนด์เพื่อสร้างธุรกิจใหม่ (Co-Creation หรือ Joint Venture)
• พัฒนา IP (Intellectual Property) ที่สามารถสร้างรายได้ระยะยาว
6. เน้น “Cultural Leadership” – เข้าใจและกำหนดวัฒนธรรมการตลาด
แบรนด์อาจมีเครื่องมือครบ แต่การเข้าใจวัฒนธรรม, Trend และ Movement ที่เกิดขึ้นในสังคมยังเป็นสิ่งที่ AI หรือ In-house Team ทำได้ยาก เอเจนซีสามารถสร้างมูลค่าโดย
• นำเสนอ Consumer Trend ที่ลึกกว่าข้อมูลจาก AI
• สร้างแคมเปญที่กลายเป็น “Cultural Phenomenon”
• ทำให้แบรนด์เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาในสังคม
สรุป:
เอเจนซีโฆษณาต้องเปลี่ยนจาก “ผู้ให้บริการ” เป็น “พาร์ทเนอร์เชิงกลยุทธ์” ที่แบรนด์ขาดไม่ได้ ต้องเก่งเรื่อง Brand Strategy, Business Strategy, Marketing Strategy, Communication Strategy: Big Idea, Storytelling, และ AI-Enhanced Strategy รวมถึงต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่ไม่ใช่แค่โฆษณา เช่น Product Innovation หรือ Venture Building
ถ้าปรับตัวได้ เอเจนซียังเป็นที่พึ่งของแบรนด์ได้เสมอ!
เกร็ดเล็กๆ ของแบรนด์ by BirdBrand
โฆษณา