Blockdit Logo (Mobile)
ลงทุนแมน
ยืนยันแล้ว
•
26 มี.ค. เวลา 03:30 • ธุรกิจ

Sino-Pacific บริษัทรายได้ 28,000 ล้าน ผู้นำเข้า มาม่าเกาหลี Samyang น้ำแร่ Evian

ใครเคยพลิกดูพวกซองขนม ของกินนำเข้า
อย่าง น้ำแร่ Evian, ขนม Pringles, ซอส Kikkoman, มาม่าเกาหลี Samyang
ก็จะเห็นชื่อของ Sino-Pacific หรือ ซีโน-แปซิฟิคเทรดดิ้ง (ไทยแลนด์)
บริษัทนี้มีอายุกว่า 50 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบัน ถือเป็นผู้นําเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและขนมที่ใหญ่ที่สุดในไทย มีแบรนด์ในเครือกว่า 70 แบรนด์
โดยมีรายได้หลักหมื่นล้านบาท และกำไรหลักพันล้านบาท เลยทีเดียว
แล้ว Sino-Pacific มีจุดแข็งอะไร ถึงอยู่มานานขนาดนี้ ?
ทำไมถึงเป็นผู้นําเข้าของกิน ใหญ่สุดในไทยได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Sino-Pacific ก่อตั้งในปี 2513 เริ่มต้นจากการนำเข้าและจัดจำหน่ายผงโกโก้แบรนด์ Van Houten เข้ามาในไทย
พอทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้ จึงขยายธุรกิจไปนำเข้าช็อกโกแลต Van Houten ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ช็อกโกแลตแบรนด์แรก ๆ ที่นำเข้ามาขายในไทยด้วย
หลังจากนั้น Sino-Pacific จึงได้ขยายไลน์ไปยังขนมและของกินอื่นเพิ่มเติม เข้ามาในไทย
ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีมาอย่างยาวนาน ทำให้ในปัจจุบัน บริษัทมีแบรนด์ในเครือกว่า 70 แบรนด์แล้ว ครอบคลุมของกินหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างแบรนด์ที่เราน่าจะรู้จักกัน
- เครื่องดื่ม เช่น น้ำแร่ Evian, ชา Twinings, กาแฟ UCC
- ช็อกโกแลต เช่น Nutella, Ferrero, M&M’S, Hershey’s
- ของหวานและลูกอม เช่น Chupa Chups, HARIBO, KOPIKO
- เครื่องปรุงและของแห้ง เช่น McCormick, Kikkoman, Heinz, Samyang
- ขนม เช่น Jagabee, Glico, Pringles, Tong Garden, Loacker, Lorenz
ผลประกอบการที่ผ่านมา
ปี 2564
รายได้ 32,363 ล้านบาท
กำไร 1,354 ล้านบาท
ปี 2565
รายได้ 29,330 ล้านบาท
กำไร 1,308 ล้านบาท
1
ปี 2566
รายได้ 28,843 ล้านบาท
กำไร 1,278 ล้านบาท
ถ้าถามว่า รายได้และกำไรของ Sino-Pacific อยู่ระดับไหน..
เพื่อให้เห็นภาพ ลองดูผลประกอบการของบริษัทที่มีโมเดลธุรกิจคล้ายกัน อย่าง บมจ.สหพัฒนพิบูล ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ในเครือสหพัฒน์
ปี 2564
รายได้ 34,058 ล้านบาท
กำไร 1,745 ล้านบาท
ปี 2565
รายได้ 35,551 ล้านบาท
กำไร 1,627 ล้านบาท
ปี 2566
รายได้ 38,461 ล้านบาท
กำไร 2,235 ล้านบาท
แล้ว Sino-Pacific มีจุดแข็งอะไร ถึงอยู่มานานขนาดนี้ ?
ทำไมถึงกลายเป็นผู้นําเข้าของกิน ใหญ่สุดในไทยได้ ?
อธิบายง่าย ๆ สำหรับโมเดลธุรกิจนี้
ก็คือการเอาของกินจากต่างประเทศมาขาย โดยอาศัยความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคท้องถิ่น มาช่วยทำการตลาด
 
และกระจายสินค้าผ่านร้านค้า ซึ่งเป็นปลายทางถึงผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) อย่าง 7-Eleven, Lotus’s, Big C เป็นต้น หรือร้านค้าท้องถิ่นแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) รวมถึงช่องทางออนไลน์ (E-Commerce)
ซึ่งการที่บุกเบิกตลาดตั้งแต่ยุคต้น ๆ ในช่วงที่คู่แข่งยังน้อย โดยเฉพาะการเป็นเจ้าแรกที่นำเข้าแบรนด์ดังอย่าง Van Houten เข้ามา
1
จึงเป็นที่รู้จักของแบรนด์ต่างประเทศอื่นตามมา แถมยังเป็นการสั่งสมชื่อเสียงและประสบการณ์ ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
รวมถึงช่วยสร้างเครือข่ายการจัดจำหน่ายออกไป ยึดหัวหาดพวกร้านค้าได้ก่อนด้วย
ทำให้ได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายมาอย่างยาวนาน
ซึ่งในหลายแบรนด์ยังอาจให้สิทธิ์นำเข้าสินค้ามาขายในไทย โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวได้อีกด้วย
ทำให้ไม่มีบริษัทอื่นในไทยสามารถขายแบรนด์นั้น ๆ ได้
นอกจากนี้ หากแบรนด์เหล่านั้นมีการใช้ผู้จัดจำหน่ายต่างประเทศมาเป็นเวลานาน ก็จะมีต้นทุนในการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่าย (Switching Cost) ที่สูง
 
เพราะการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศใหม่ ต้องใช้ทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย รวมถึงมีความเสี่ยงสูง
1
แบรนด์จึงมักไม่อยากเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายใหม่ หากตัวแทนจัดจำหน่ายมีความเชี่ยวชาญ เข้าใจตลาดในประเทศดีอยู่แล้ว
และอีกข้อสำคัญคือ การมีเครือข่ายการจัดจำหน่าย และระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่ง
โดยปัจจุบัน Sino-Pacific มีศูนย์กลางจัดส่งสินค้าถึง 13 แห่ง ที่รองรับการจัดส่งสินค้าอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ
ทำให้สินค้าถูกกระจายไปได้อย่างรวดเร็ว สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ ก็น่าจะเป็นเหตุผลให้ Sino-Pacific กลายเป็นผู้นําเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและขนมที่ใหญ่ที่สุดในไทย ในวันนี้..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
บจ.ซีโน-แปซิฟิคเทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) ถือหุ้น บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น เจ้าของสินค้า เช่น เนย ALLOWRIE, คุกกี้กล่องแดง IMPERIAL, ชีส DAIRYGOLD ในสัดส่วน 0.59% มูลค่าราว 26 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20/03/2568)
โฆษณา