เมื่อวาน เวลา 12:47 • หุ้น & เศรษฐกิจ

อธิบาย กลยุทธ์ส่งต่อมรดก แบบเสียภาษี 0 บาท ด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน P/N

สำหรับประเทศไทยแล้ว หากเรารับมรดกจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทนั้น จะถูกเก็บภาษีในอัตราสูงสุด 10%
4
แต่หากผู้รับมรดกเป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือลูกหลาน ของคนให้มรดก อัตราภาษีจะลดเหลือ 5%
เช่น หากเราเป็นเศรษฐีพันล้าน แล้วเมื่อถึงวันที่เราเสียชีวิต เรามอบทุกอย่างเป็นมรดกให้ลูกของเรา 1,000 ล้านบาท
ส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท ก็คือ 900 ล้านบาท จะต้องถูกนำไปคิดภาษีในอัตรา 5%
ดังนั้นลูกของเราจะต้องเสียภาษีมรดกมากถึง 45 ล้านบาท เรื่องนี้จะไม่มีปัญหาอะไร หากเรามีเงินสดเตรียมไว้เป็นมรดกให้ลูกของเรา 45 ล้านบาท
แต่หากมรดกนั้น เป็นทรัพย์สินที่ขายได้ยาก เช่น ที่ดิน หรือหุ้นในบริษัทของครอบครัว ที่เราไม่อยากขายให้สูญเสียอำนาจการควบคุม ภาษีก้อนนี้ก็จะดูเป็นปัญหาขึ้นมาทันที
และถ้าเราโอนทรัพย์สินพวกนี้ก่อนเราเสียชีวิต ลูกของเราก็ต้องจ่ายภาษีอยู่ดี เรียกว่า ภาษีการรับให้
1
โดยเงื่อนไขการคิดภาษีการรับให้ จะแตกต่างจากภาษีมรดกเล็กน้อย ตรงที่ภาษีการรับให้ จะเรียกเก็บในอัตรา 5% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับมาในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท
แต่ถ้าผู้ให้เป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือลูกหลาน จะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 5% จากมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับมาในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า ถ้าเรายกทรัพย์สินทั้งหมดให้ลูก ตอนเรายังมีชีวิตอยู่ ลูกของเราจะต้องเสียภาษีมากกว่าการรับมรดกเสียอีก
ตรงนี้เอง ที่ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ P/N จะมาช่วยทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียภาษีมรดก หรือภาษีการรับให้สักบาท
1
อธิบายความหมายของตั๋วสัญญาใช้เงิน แบบง่าย ๆ ก็คือ สมมติว่า เราต้องการซื้อของที่มีมูลค่าสูง แต่เราไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะจ่ายในทันที
เราสามารถใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน เพื่อทำสัญญาว่าจะจ่ายเงินภายในเวลาที่กำหนด
2
โดยผู้ออกตั๋ว คือฝ่ายที่ให้คำมั่นว่าจะจ่ายเงินให้ผู้รับเงิน เพียงแต่ว่าขอเอาสินค้ามาก่อน ซึ่งถ้าเรียกกันแบบบ้าน ๆ ก็เหมือนที่คนซื้อของจากร้านขายของชำโดยการ “เซ็น” ไว้
1
องค์ประกอบของตั๋วสัญญาใช้เงิน หลัก ๆ แล้ว ก็จะประกอบด้วย
- เงินต้น
- อัตราดอกเบี้ย
- กำหนดวันชำระเงิน
- วันสิ้นสุดการชำระเงิน
1
ซึ่งในบางครั้งอาจมีการใส่เงื่อนไข เพื่อป้องกันในกรณีที่ผู้ออกตั๋ว ไม่จ่ายเงินตามสัญญา เช่น ผู้รับเงินสามารถยึดทรัพย์สินที่โอนให้ไปแล้วได้
1
พูดง่าย ๆ ก็คือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ทำหน้าที่เหมือนเป็นบัตรเครดิต ที่สามารถกำหนดวันชำระหนี้ได้นั่นเอง
แต่นอกจากนี้ยังมีตั๋วสัญญาใช้เงินอีกประเภทหนึ่ง ที่ไม่กำหนดวันสิ้นสุดการชำระเงินเอาไว้ โดยจะขึ้นอยู่กับผู้รับเงินว่าจะเรียกเก็บเงินเมื่อไร เรียกว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินตามความต้องการ
2
ตั๋วประเภทนี้เอง ที่เหล่าเศรษฐี จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีที่เกี่ยวข้องกับมรดกได้
1
ถ้ายังไม่เห็นภาพ เราลองไปดูตัวอย่างการใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน เพื่อวางแผนภาษีการรับให้กัน
สมมติว่า นางสาว A ทายาทมหาเศรษฐีหมื่นล้าน ได้รับโอนหุ้นจากพ่อแม่ และพี่ชายของตัวเอง ซึ่งผู้ให้ทั้งหมดยังมีชีวิตอยู่
4
โดยหุ้นนั้น เป็นหุ้นของบริษัทนอกตลาดหลายบริษัท มีมูลค่ารวมกันประมาณ 5,000 ล้านบาท
แต่ถ้าจะโอนให้กันตรง ๆ ก็คงจะเสียภาษีการรับให้มากถึง (5,000 - 20) x 5% = 249 ล้านบาท
ดังนั้นนางสาว A ซึ่งเป็นผู้รับโอนหุ้นมา จะเป็นคนออกตั๋ว จึงมีการทำตั๋วสัญญาใช้เงินตามความต้องการขึ้นมา เสมือนว่าเป็นธุรกรรมการซื้อขายหุ้น โดยมีพ่อแม่ และพี่ชาย ที่เป็นคนโอนหุ้นให้ เป็นผู้รับเงิน
ข้อดีของการทำแบบนี้คือ นางสาว A จะยังไม่ต้องจ่ายเงินค่าซื้อหุ้น แต่ได้รับหุ้นมาแล้ว
2
ถ้าหากผู้รับเงินอย่างพ่อแม่ และพี่ชายของนางสาว A จะเรียกเก็บเงินคืน ตามสัญญาที่ให้ใน P/N
ปัญหาภาษี ก็จะตกเป็นภาระของพ่อแม่ และพี่ชายที่ขายหุ้นให้นางสาว A แทน
เพราะตามกฎหมายไทยระบุว่า หากมีการขายหุ้นของบริษัทนอกตลาด กำไรที่ได้จากการขายหุ้น ต้องนำมาคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีนี้เพิ่ม พ่อแม่ และพี่ชายของนางสาว A ก็จะตกลงราคาซื้อขายหุ้นกันในราคาพาร์ หรือราคาทุน ให้นางสาว A ตั้งแต่แรก
1
เพียงเท่านี้ นางสาว A และครอบครัว ก็จะไม่ต้องกังวลกับปัญหาภาษีมรดกอีกต่อไป จากการขายที่เท่าทุน จึงทำให้ไม่ได้กำไร ไม่ต้องนำเงินได้มาคิดภาษี
1
เพียงเท่านี้ ต่อให้จะส่งต่อมรดกกันเป็นแสนล้านบาท ภาษีมรดกทั้งหมดที่ต้องเสีย ก็จะเท่ากับ 0 บาท..
1
#วางแผนการเงิน
#หลักวางแผนการเงิน
#ตั๋วสัญญาใช้เงิน
โฆษณา