1 เม.ย. เวลา 14:00 • สุขภาพ

เหงา...ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ รู้ทันและรับมือ

ในปี 2023 ที่ผ่านมา นายแพทย์วิเวก เมอร์ธี (Vivek Murthy) อดีตศัลยแพทย์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาประกาศว่า ความเหงาเป็นเหมือนโรคระบาด และเปรียบเทียบผลเสียของมันต่อสุขภาพเทียบกับการสูบบุหรี่ถึง 15 มวนต่อวัน และจากข้อมูลล่าสุดก็ยิ่งทำให้รู้สึกน่ากังวลมากขึ้น เพราะมีการศึกษาที่เชื่อมโยงความเหงาเรื้อรังกับภาวะซึมเศร้า ภาวะสมองเสื่อม และแม้กระทั่งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
3
นอกจากนี้ ในปี 2024 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา (CDC) ยังรายงานว่า ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันถึง 1 ใน 3 รู้สึกเหงา ในขณะที่ผลสำรวจของ Meta-Gallup ที่ครอบคลุม 140 ประเทศ พบว่า มีผู้คนมากกว่าพันล้านคนทั่วโลกที่ประสบปัญหาความโดดเดี่ยวทางสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
2
ในยุคที่การเชื่อมต่อทางดิจิทัลเข้ามาแทนที่การปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้าค่าตา และโครงสร้างชุมชนแบบดั้งเดิมเริ่มเสื่อมถอยลง คำถามที่น่าสนใจคือ เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และนานาประเทศกำลังทำอะไรเพื่อเชื่อมโยงโลกที่ขาดการเชื่อมต่อนี้อีกครั้ง ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสนใจ เพราะมันส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจของเราอย่างคาดไม่ถึงครับ
หลายคนอาจสับสนระหว่างคำว่า "ความเหงา" และ "ความโดดเดี่ยวทางสังคม" ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สองคำนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อยครับ ความเหงา เป็นความรู้สึกส่วนตัวของการอยู่คนเดียว หรือรู้สึกขาดการเชื่อมโยงกับผู้อื่น ในขณะที่ ความโดดเดี่ยวทางสังคม เป็นภาวะที่บุคคลนั้นขาดความสัมพันธ์ หรือการเชื่อมต่อทางสังคมกับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือชุมชนอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้รู้สึกเหงาเสมอไปเมื่ออยู่คนเดียว แต่การขาดการเชื่อมต่อทางสังคมในระยะยาวก็สามารถนำไปสู่ความรู้สึกเหงาได้เช่นกันครับ
ตัวเลขที่น่าตกใจ ความเหงาและโดดเดี่ยวทางสังคมในปัจจุบัน
จากข้อมูลปัจจุบันทำให้ผมเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นถึงความรุนแรงของปัญหา จากการศึกษาในวารสาร JAMA พบว่า ในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 50-80 ปีในสหรัฐอเมริกา สัดส่วนของผู้ที่รายงานว่าขาดเพื่อนคลายเหงาเพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2018 เป็น 41% ในปี 2020 และถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงบ้างในช่วงปีต่อมา แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูง นอกจากนี้ ภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมก็มีแนวโน้มที่คล้ายคลึงกัน โดยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงการระบาดของโควิด-19 และถึงแม้จะลดลงหลังจากการระบาดคลี่คลาย แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ
ที่น่าสนใจคือ ผลสำรวจระดับโลกของ Meta-Gallup ยังแสดงให้เห็นว่า ผู้คนในทุกช่วงอายุต่างก็รู้สึกเหงา โดยมีสัดส่วนของผู้ที่รู้สึกเหงาค่อนข้างมากหรือมากถึง 25% ในกลุ่มอายุ 15-18 ปี, 27% ในกลุ่มอายุ 19-29 ปี, 25% ในกลุ่มอายุ 30-44 ปี, 22% ในกลุ่มอายุ 45-64 ปี และ 17% ในกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไป ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า ความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อคนหนุ่มสาวและวัยรุ่นด้วยเช่นกัน
1
ความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของเราด้วย มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาวะเหล่านี้กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคต่างๆ เช่น ภาวะสมองเสื่อม, โรคหัวใจและหลอดเลือด, ภาวะซึมเศร้า, โรคหลอดเลือดสมอง, และโรคเบาหวานชนิดที่ 2
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่พบว่า ความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมมีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุและจากการเป็นมะเร็งที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมยังเชื่อมโยงกับอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดที่สูงขึ้นอีกด้วย
นอกจากผลกระทบต่อร่างกายแล้ว ความเหงายังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสมอง จากการศึกษาในปี 2019 พบว่า ผู้ที่มีคะแนนความเหงาสูงจะมีปริมาตรเนื้อเทาในบางส่วนของสมองลดลง ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลทางความคิดและการควบคุมอารมณ์ นอกจากนี้ การทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบในปี 2021 ยังระบุว่า บริเวณสมองที่เกี่ยวข้องกับความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมมากที่สุด ได้แก่ เปลือกสมองส่วนหน้า, อินซูลา, กลีบขมับส่วนบนด้านหลัง, และเวนทรัลสไตรเอตัม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของสมองในหลายๆ ด้าน
ถึงแม้ว่าการระบาดของโควิด-19 จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมเพิ่มขึ้นทั่วโลก แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง เช่น การขยายตัวของเมือง, การพึ่งพาเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ที่มากขึ้น, และการมีส่วนร่วมในชุมชนที่ลดลง นอกจากนี้ การทำงานจากระยะไกลและการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น ก็อาจทำให้ขาดการปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้าค่าตา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างความผูกพันทางสังคม
ศาสตราจารย์พอล แอปเปิลบอม (Paul Appelbaum) จิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ชี้ให้เห็นว่า แนวโน้มการมีเพื่อนน้อยลงและมีเวลาน้อยลงในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น เริ่มมีให้เห็นมานานก่อนการระบาดของโควิด-19 แล้ว นอกจากนี้ ดร.เอลเลน อี ลี (Ellen E. Lee) จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุ ยังกล่าวถึงแนวโน้มที่เครือข่ายสังคมของผู้คนมีขนาดเล็กลง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการที่ผู้คนแต่งงานน้อยลง มีบุตรน้อยลง การสูญเสียคู่สมรสเมื่ออายุมากขึ้น และการมีส่วนร่วมน้อยลงในชุมชน
เมื่อเห็นถึงความสำคัญของปัญหา หลายประเทศทั่วโลกจึงเริ่มตระหนักและหาแนวทางในการแก้ไข ในปี 2024 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการว่าด้วยการเชื่อมโยงทางสังคม และกำลังดำเนินการจัดทำวาระระดับโลกเพื่อกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการ สนับสนุนแนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ และวัดผลความคืบหน้า
ในขณะเดียวกัน หลายประเทศก็ได้เริ่มดำเนินมาตรการต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น สวีเดน มีโครงการ SällBo ซึ่งเป็นโครงการที่พักอาศัยที่นำผู้คนจากต่างวัฒนธรรมและต่างวัยมาอยู่ร่วมกันเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในชุมชน นอกจากนี้ เมืองลูเลอาของสวีเดนยังได้เปิดตัวแคมเปญในปี 2023 เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนทักทายกันด้วยความเป็นมิตรเพื่อลดความโดดเดี่ยวทางสังคม และล่าสุด สวีเดนยังได้ประกาศยุทธศาสตร์ระดับชาติฉบับแรกเพื่อต่อสู้กับความเหงา
โดยมีเป้าหมายในการทำให้สถานที่ทางสังคมเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ขจัดอุปสรรคในการเข้าร่วมกิจกรรม และดำเนินโครงการช่วยเหลือที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยง
เดนมาร์ก มีแคมเปญ "ABCs of Mental Health" ที่ส่งเสริมการบูรณาการทางสังคมผ่านกิจกรรมต่างๆ โดยเน้นว่า "A" คือการทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง "B" คือการทำอะไรบางอย่างกับผู้อื่น และ "C" คือการทำอะไรบางอย่างที่มีความหมาย ส่วน นอร์เวย์ ใช้ประโยชน์จากชมรมในชุมชนเพื่อลดความโดดเดี่ยวในกลุ่มผู้สูงอายุ อินเดีย มีโครงการชุมชนระหว่างรุ่น และ เนเธอร์แลนด์ มีโครงการ "chatty registers" ในร้านขายของชำ ซึ่งจะมีช่องคิดเงินพิเศษที่มีพนักงานยินดีพูดคุยกับลูกค้าสูงอายุ
นอกจากนี้ ญี่ปุ่น ได้ประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมโยบายเพื่อความเหงาและความโดดเดี่ยวในปี 2024 และทั้งญี่ปุ่นและ สหราชอาณาจักร ต่างก็มีการแต่งตั้ง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเหงา" เพื่อดูแลและประสานงานการดำเนินงานในระดับชาติ สหราชอาณาจักรยังมีบริการ "befriending services" ซึ่งมีอาสาสมัครไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้าน หรือพาพวกเขาไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ไปคาเฟ่หรือไปดูละคร
1
แนวคิดเรื่อง social prescribing หรือการสั่งจ่ายทางสังคม ก็ได้รับความนิยมในหลายประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นการแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนที่ไม่ใช่ทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี
แล้วประเทศไทยล่ะ? เราจะรับมือกับความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าปัญหาความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมจะเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่ก็มีหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อรับมือและช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งมีแนวทางที่น่าสนใจดังนี้ครับ
1. เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีอยู่ ให้ความสำคัญกับการรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อนฝูง และคนใกล้ชิด
2. เรียนรู้การใช้เครื่องมือสื่อสาร ฝึกฝนการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ เช่น วิดีโอคอล เพื่อติดต่อกับคนที่อยู่ห่างไกล
3. สร้างความสัมพันธ์ใหม่ เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในชุมชน หรือกลุ่มที่มีความสนใจเดียวกัน เพื่อพบปะและสร้างเพื่อนใหม่
4. ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น การเป็นผู้ให้และการช่วยเหลือผู้อื่นสามารถช่วยลดความรู้สึกเหงาและเพิ่มความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองได้
5. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ หากรู้สึกว่าความเหงาส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อขอคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการด้านสุขภาพก็มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ โดยควรมีการบูรณาการการสนับสนุนด้านจิตสังคมเข้ากับการดูแลสุขภาพ และสอบถามผู้ป่วยเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเขา เพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการและให้คำแนะนำที่เหมาะสม
ข้อคิดส่งท้าย การเชื่อมโยงทางสังคม...ยาขนานเอกเพื่อสุขภาพที่ดี
จากข้อมูลที่ผมได้นำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ คงจะทำให้ทุกท่านได้เห็นแล้วว่า ความเหงาและความโดดเดี่ยวทางสังคมไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราในหลายด้าน การสร้างและรักษาการเชื่อมโยงทางสังคมที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ
2
ผมขอทิ้งท้ายด้วยคำถามเพื่อให้ทุกท่านได้ลองคิดทบทวนดูนะครับว่า ในชีวิตประจำวันของเรา เราให้ความสำคัญกับการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน? และเราจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อลดความเหงาและความโดดเดี่ยวในตัวเราเองและคนรอบข้าง? หากท่านใดมีความกังวลเกี่ยวกับความเหงาหรือความโดดเดี่ยวทางสังคม ผมขอแนะนำให้ท่านปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อให้เราสามารถก้าวข้ามภัยเงียบนี้ไปด้วยกันครับ
แหล่งอ้างอิง:
Brauser, D. (2025, March 25). Lonely Planet: How the World Is Fighting Social Isolation. Medscape Medical News. Retrieved from https://www.medscape.com/viewarticle/lonely-planet-how-world-fighting-social-isolation-2025a1000748
โฆษณา