30 มี.ค. เวลา 03:00 • สุขภาพ

Isotretinoin: ยารักษาสิวที่ต้องใส่ใจมากกว่าแค่เรื่องซึมเศร้า

ยา Isotretinoin ยานี้ถือว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงมากในการรักษาสิวอักเสบรุนแรงที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล แต่ก็มีเรื่องที่ต้องใส่ใจและทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อให้การใช้ยาเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด
บทความนี้จะอิงข้อมูลหลักจากงานวิจัยที่ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบรายงานอาการไม่พึงประสงค์ขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US Food and Drug Administration Adverse Event Reporting System หรือ FAERS) ซึ่งเป็นข้อมูลที่น่าสนใจและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังใช้ยา Isotretinoin หรือกำลังพิจารณาที่จะใช้ครับ
ที่ผ่านมา เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่ายา Isotretinoin มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าและการคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังและติดตามอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว
แต่จากข้อมูลล่าสุดที่ผมได้อ่านจากงานวิจัยนี้ ทำให้ทราบว่านอกจากความเสี่ยงเหล่านั้นแล้ว ผู้ที่ใช้ยา Isotretinoin ยังอาจมีประสบการณ์เกี่ยวกับความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ ที่สำคัญ เช่น อารมณ์แปรปรวนอย่างมาก (significant mood disturbances) การทำร้ายตัวเอง (self-injury) และอาการทางจิตเภท (psychoses) ได้ด้วยครับ
คณะผู้วิจัยนำโดย Dr. Wenjia Nie จากโรงพยาบาลผิวหนังในมณฑลเจียงซี ประเทศจีน ได้ทำการเปรียบเทียบอัตราการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ทางจิตเวชระหว่างผู้ที่ใช้ยา Isotretinoin กับผู้ที่ใช้ยาอื่นๆ ในฐานข้อมูล FAERS ตั้งแต่ปี 2004 ถึง 2024 เพื่อที่จะตอบคำถามว่า นอกจากความเสี่ยงเรื่องซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว ยังมีอาการทางจิตเวชอื่นๆ อีกหรือไม่ที่ควรได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
จากการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ที่ใช้ยา Isotretinoin มีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ทางจิตเวชมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาการที่ถูกรายงานบ่อยที่สุดโดยรวมคือ
1. ภาวะซึมเศร้า (Depression) พบมากถึง 47.5% ของรายงานอาการทางจิตเวชทั้งหมด
2. ความคิดอยากฆ่าตัวตาย (Suicidal ideation) ประมาณ 17.7%
3. ความวิตกกังวล (Anxiety) พบ 15.0%
4. อารมณ์เปลี่ยนแปลง (Altered mood) พบประมาณ 11.7%
เมื่อดูในรายละเอียดแล้ว พบว่าผู้ที่ใช้ยา Isotretinoin มีอัตราการรายงานอาการทางจิตเวชสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยาถึง 3.30 เท่า (reporting odds ratio หรือ ROR = 3.30) ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่ค่อนข้างชัดเจนครับ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างจากการวิจัยนี้คือ ข้อบ่งใช้ของยา (Indication) มีผลกระทบอย่างมากต่อผลลัพธ์โดยรวมของการศึกษาครับ รายงานจากผู้ที่ใช้ยา Isotretinoin เพื่อรักษาสิวแสดงให้เห็นถึงความถี่ของอาการไม่พึงประสงค์ทางจิตเวชที่สูงกว่า และมีสัญญาณที่ชัดเจนกว่ารายงานจากผู้ที่ใช้ยา Isotretinoin ด้วยเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่ใช่สิว
จากอาการทางจิตเวช 96 รายการที่มีสัญญาณบ่งชี้ในเชิงบวกในกลุ่มผู้ใช้ยา Isotretinoin นักวิจัยได้จัดกลุ่มอาการ 25 รายการ (เช่น โรคซึมเศร้า, โรคไบโพลาร์, ความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ) ให้อยู่ในระดับความสำคัญทางคลินิกปานกลาง นอกจากนี้ พวกเขายังจัดให้ความคิดอยากฆ่าตัวตาย ภาวะซึมเศร้ารุนแรง และการฆ่าตัวตายสำเร็จ เป็นอาการที่มีความสำคัญทางคลินิกสูงสุดครับ
จากผลการวิจัยนี้เอง ทำให้ Dr. Nie และคณะแนะนำว่า นอกเหนือจากภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตายแล้ว ความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ (เช่น โรควิตกกังวล, อารมณ์เปลี่ยนแปลง, โรคไบโพลาร์ และความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ) การทำร้ายตัวเอง และอาการทางจิตเภท ควรได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นของการรักษา และในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นสิวครับ
อย่างไรก็ตาม Dr. Emmy Graber นายกสมาคม The Dermatology Institute of Boston และอาจารย์คลินิกที่ Bouvé College of Health Sciences แห่ง Northeastern University ในบอสตัน ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับงานวิจัยนี้ว่า แม้การวิเคราะห์ข้อมูลจาก FAERS จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ควรได้รับการตีความอย่างระมัดระวัง
Dr. Graber ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษานี้ อธิบายว่า ปัญหาของการพยายามดึงข้อมูลจาก FAERS คือใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล หรือแม้แต่ผู้ป่วยเอง ก็สามารถรายงานผลข้างเคียงใดๆ ก็ได้ แต่ระบบไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าอาการไม่พึงประสงค์ที่รายงานนั้นเกี่ยวข้องกับสิว หรือการวินิจฉัยอื่นๆ จริงหรือไม่ หรือแม้แต่การวินิจฉัยนั้นถูกต้องหรือไม่
นอกจากนี้ Dr. Graber ยังเสริมว่า ยา Isotretinoin มักจะมีการรายงานผลข้างเคียงที่มากเกินจริง (reporting bias) เนื่องจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นของยานี้ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง "พลังของการโน้มน้าวใจนั้นแข็งแกร่งมาก" Dr. Graber กล่าว "ถ้าผู้ป่วยคิดว่าตัวเองอาจจะซึมเศร้าจากยา เมื่อพวกเขารู้สึกแย่ลงเล็กน้อย พวกเขาก็อาจจะด่วนสรุปไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม ว่าเป็นเพราะยา Isotretinoin"
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ การศึกษาพบว่าระยะเวลาเฉลี่ยของการเริ่มมีอาการ (median symptom onset time) คือ 80 วัน โดยไม่คำนึงถึงข้อบ่งใช้ ซึ่ง Dr. Graber ชี้ให้เห็นว่า นี่เป็นช่วงกลางของการรักษาด้วยยา Isotretinoin โดยทั่วไปพอดี
ถึงแม้ว่าคณะผู้วิจัยจะยอมรับถึงข้อจำกัดของการศึกษา เช่น ความเอนเอียงในการรายงานด้วยตนเอง และความไม่สามารถที่จะสรุปความสัมพันธ์เชิงสาเหตุจากความสัมพันธ์ทางสถิติได้ แต่ Dr. Graber ก็ยังคงเชื่อว่าการศึกษานี้จะไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางการปฏิบัติทางคลินิกในปัจจุบัน
"พวกเราในฐานะแพทย์มีข้อได้เปรียบที่เราได้พบกับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ทุกเดือนในขณะที่พวกเขากำลังใช้ยา Isotretinoin" Dr. Graber กล่าว "เราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต แต่ความรับผิดชอบของเราคือการถามผู้ป่วยทุกเดือนว่าพวกเขาสบายดีหรือไม่ และบางครั้งเราก็รู้จักผู้ป่วยเหล่านี้ดีกว่าแพทย์ประจำตัวของพวกเขาเสียอีก"
ดังนั้น Dr. Graber จึงกล่าวว่า ความรับผิดชอบของแพทย์ผิวหนังต่อผู้ป่วยที่ใช้ยา Isotretinoin ไม่ได้อยู่ที่การวินิจฉัยหรือรักษาอาการทางจิตเวชใหม่ๆ โดยตรง แต่อยู่ที่การส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้การดูแลรักษาได้
ข้อคิดส่งท้ายจากเภสัชกร
จากข้อมูลทั้งหมดที่ผมได้นำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ จะเห็นได้ว่ายา Isotretinoin เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสิว แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องใส่ใจ ไม่ใช่แค่เรื่องภาวะซึมเศร้าและการคิดฆ่าตัวตายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความผิดปกติทางอารมณ์อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
สิ่งที่ผมอยากจะฝากถึงทุกคนที่กำลังใช้ยา Isotretinoin หรือกำลังพิจารณาที่จะใช้ คือการตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้ และให้ความสำคัญกับการติดตามอาการของตัวเองอย่างใกล้ชิด หากมีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอารมณ์หรือจิตใจ อย่าลังเลที่จะรีบปรึกษาแพทย์ผู้ที่ทำการรักษานะครับ
สำหรับแพทย์ผิวหนังเอง การซักถามและติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ เดือนของการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถตรวจพบสัญญาณของปัญหาทางจิตเวชได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และสามารถส่งต่อผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญได้อย่างทันท่วงที
สุดท้ายนี้ ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และช่วยให้ทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับยา Isotretinoin มากยิ่งขึ้นนะครับ การใช้ยาใดๆ ก็ตาม ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุดครับ
แหล่งอ้างอิง:
Jesitus, J. (2025, March 24). Isotretinoin: Risks Beyond Depression, Suicidality Evaluated. Medscape Medical News. Retrieved from https://www.medscape.com/viewarticle/isotretinoin-acne-risks-beyond-depression-suicidality-2025a10006xe
โฆษณา