26 มี.ค. เวลา 23:10 • ครอบครัว & เด็ก

ต้องบังเกิดใหม่ถึงจะรอดได้

ยอห์น 3:3, 5-7 TH1971
[3] พระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้>>
[5] พระเยซูตรัสว่า <<เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่จากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้ [6] ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ [7] อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านทั้งหลายต้องบังเกิดใหม่
ยอห์น 1:12-13 TH1971
[12] แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า [13] ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
ยอห์น 1:1 TH1971
[1] ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
พึ่งได้พบกับผู้เชื่อในพระเจ้าคนนึง ดูแลโบสถ์มาได้แปดปี สมาชิกประมาณไม่ถึงสิบคน ส่วนมากเป็นคนแก่มากแล้ว ก็ได้ถามเขาว่าเขามารู้จักกับพระเจ้าได้ยังไง คือกำลังถามว่าเขาบังเกิดใหม่ เปลี่ยนจากคนบาปกลายมาเป็นลูกพระเจ้ายังไงนี้ครับ เขาบอกเริ่มจากได้เข้ามาช่วยงานโบสถ์ แล้วมาวันนึงอาจารย์ที่ดูแลสมาชิกที่โบสถ์คนเดิมตาย ก็มีอาจารย์ใหญ่มาวางมืออธิษฐานให้เขาเป็นแทน แล้วสมาชิกก็ยอมรับ ผมฟังแล้วมันไม่มีพระวจนะของพระเจ้าที่เข้ามาเปลี่ยนความคิดจิตใจของเขายังไงเลยครับ แต่เป็นเพราะมนุษย์บอกให้เป็นเขาก็เลยเป็น?
ผมได้พบกับพระเจ้าตรงๆครั้งแรกเลยคือผ่านพระคำยอห์นบทที่8 เรื่องหญิงถูกจับล่วงประเวณีครับ ช่วงนั้นผมกำลังทุกข์ทรมานกับความผิดที่ได้ทำลงไปคือเรื่องล่วงประเวณีครับ
ตอนนี้นมันเกิดความรู้สึกอึดอัดมืดบอดกับชีวิต ไม่รู้ว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย จะให้กลับไปทำมาหากินอีกก็รู้สึกไม่ใช่นะ แต่จะเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรก็ไม่มั่นใจอีก ไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะสามารถยอมรับและใช้ตัวผมได้ จิตใจก็จมอยู่แต่กับความคิดประมาณนี้ครับ
ผ่านไปได้หกเดือนพระเจ้าก็เริ่มเข้ามาหาผมครับ ก็ทำให้ผมได้คิดถึงอ.คิมฮักเชิลที่ผมได้เคยไปเจอเมื่อหกปีก่อนเกิดเรื่อง ตอนนั้นผมยังเป็นหัวหน้าหน่วยดูแลสมาชิกประมาณสิบคนที่โบสถ์แห่งนึง ก็ได้พาสมาชิกไปร้องเพลงอวยพรตามบ้านช่วงคริสตมาสและไปเจอกับอ.คิมฮักเชิลที่โบสถ์ข่าวประเสริฐ แถวบางกะปิ หลังร้องเพลงคริสตมาสเสร็จก่อนกลับอ.คิมก็ถามผมว่า"ยังมีบาปอยู่หรือเปล่า? ถ้ายังมีบาปอธิษฐานเผื่อใครไม่ได้"
ตอนนั้นผมก็ยอมรับไปว่ายังมีบาปอยู่ แต่ผมก็จะอธิษฐานล้างบาปทุกเช้าก่อนจะออกไปเริ่มต้นทำอะไร แต่อ.คิมฟังแล้วก็ส่ายหน้าและย้ำคำพูดเดิม"ถ้ายังมีบาปอธิษฐานเผื่อใครไม่ได้นะ" ตอนนั้นผมฟังแล้วก็งงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามกลับไป แต่ขอตัวกลับเลย ไม่อยู่ถามให้เข้าใจ ก่อนออกพ้นประตูก็มีซิสเตอร์คนนึงวิ่งเอาหนังสือมาให้ชื่อ"ความลับของการชำระบาปและการบังเกิดใหม่" ย้ำบอกให้ผมนำกลับไปอ่านให้จบนะ
ก็นำกลับมาอ่านจนจบ แต่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องอะไรกับผม เหมือนอ่านนิทาน อ่านจบก็เก็บขึ้นชั้นหนังสือลืมไปเลยจนกระทั้งเกิดเรื่องขึ้น ผมก็หาทางออกด้วยการพาฝ่ายหญิงออกจากที่โบสถ์ครับ ก็ไปจดทะเบียนกัน และพยายามเดินเรื่องเพื่อจะแต่งงานด้วย ก็ไปปรึกษาที่โบสถ์แห่งนึงแต่พอเขาตอบกลับมาว่าทำพิธีแต่งให้ไม่ได้เพราะสามีเก่าฝ่ายหญิงยังคงมีชีวิตอยู่ พระคัมภีร์ฯ บอกว่าผมกำลังเป็นชู้ กำลังล่วงประเวณีกับภรรยาชาวบ้าน
ตอนนั้นผมมืดไปเลยครับ แล้วยังไงต่อ ต้องเลิกกันเหรอ ผมก็ไม่อยากเลิกด้วย และชีวิตผมเองจะไปยังไงต่อ ก็ไม่รู้เหมือนกัน กับงานหาเงินที่กำลังทำๆอยู่ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่เห็นทำเงินเข้ามาอะไรเลย พระเจ้ากับผมก็รู้สึกเหมือนกับมีบาปหรือกำแพงกันอยู่ เข้าไม่ถึงครับ จมอยู่กับสภาพนี้หกเดือนก่อนได้คิดถึงอ.คิมฮักเชิลแล้วกลับเข้ามา อาจารย์กับผู้ช่วยก็คุยและสอนพระคำหลายเรื่องให้กับผม หลังจากผ่านไปได้เดือนนึง หลังจากที่ผมได้เริ่มเปิดใจพูดความจริงกับปัญหาของผม
พระคำเรื่องของหญิงถูกจับล่วงประเวณีในยอห์นบทที่8 ครับ เป็นพระคำเรื่องแรกเลยที่เข้ามาในใจของผม ตอนได้ยินเหมือนพึ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกในชีวิตสำหรับตอนนั้น เหมือนเป็นเรื่องของตัวผมเองเลย ทุกคำพูดของพระเยซูในนั้นทำให้ผมเป็นอิสรจากความสิ้นหวัง จากความคิดที่ว่าพระเจ้าปฏิเสธผมครับ
ก็รู้สึกอัศจรรย์ใจมากกับพระคำของที่นี่ ก็ใช้พระคัมภีร์ฯเล่มฉบับเดียวกันที่ผมมี แต่ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังอะไรแบบนี้มาก่อนเลยครับ แล้วพระเจ้าก็จับผมไว้ที่คริสตจักร ถึงแม้ยังมีสถานการยากลำบากไม่เข้าใจหลายเรื่อง แต่ก็เห็นว่ามีพระเจ้าที่คอยจับจูงนำชีวิตของผมผ่านทางคริสตจักรนี้ไปเรื่อยๆครับ ซึ่งมีอิทธิพลมากกับชีวิตของผม ถึงแม้ในช่วงเวลาที่ผมฟังพระคำไม่เข้าใจเลย
ผมเห็นชีวิตของผมตั้งแต่ได้เริ่มเข้ามาสู่คริสตจักร มันเหมือนเปโตรตอนที่ติดตามพระเยซูครับ คือมันมีแต่ความพยายามตั้งใจของตัวเอง สุดท้ายมันก็เลยไปต่อไม่ไหวจริงๆ ครับกับการพยายามจะเชื่อพระเจ้านี้ครับ จะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ตอนที่ผมยอมแพ้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทุกสิ่งแล้วแต่พระเจ้า ผมกลับรู้สึกว่าตอนนั้นแหล่ะที่ผมเริ่มเชื่อพระเจ้าได้แล้วจริงๆ
เพราะมันชินไปแล้วกับการใช้ชีวิตด้วยความพยายามตั้งใจของตัวเองครับ การเชื่อวางใจเพียงพระเจ้าก็เลยกลับกลายเป็นเรื่องยากครับ พอมาถึงจุดนี้ผมคิดถึงเรื่องชีวิตของผู้รับใช้หลายคนในพระคัมภีร์ฯ ตอนจิตใจพวกเขาเจอกับปัญหานี้ ก็จะหาทางออกจากการแสวงหาพระสัญญาของพระเจ้าหรือหลับไปเลยแบบเปโตรตอนถูกขังคุกเตรียมประหารพรุ่งนี้ ถ้าเขาไม่เชื่อวางใจเพียงพระเจ้าคงยากมากที่จะหลับได้สนิทในสถานการเช่นนั้น
ยกตัวอย่างตอนนี้ผมกำลังมีความอึดอัดใจกับภรรยาที่ชอบคิดตัดสินใจอะไรเอง ไม่ปรึกษาพูดคุยกันก่อนตัดสินใจ ในส่วนของผมก็จะเบื่อหน่ายที่เขาเป็นแบบนี้ และผมเองก็เบื่อกับการที่จะต้องมาคอยบอกว่ากล่าวใครเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย กับหลายคนที่เลือกอยู่เป็นโสดและเล่นชู้ก็เพราะมีใจแบบนี้คือรักสนุกแต่ไม่ต้องการพันธะผูกมัด ก่อนหน้าผมจะแต่งงานก็ใช้ชีวิตมาแบบนั้นเหมือนกันครับ
มาตอนนี้กับการใช้ชีวิตบนโลกแห่งบาปใบนี้ มันก็มีสองทางให้เลือกระหว่างทางของพระเจ้าที่มีคริสตจักรกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นปีกเป็นแขนขาให้ไปสู่สวรรค์ หรือทางของมารซาตานที่มีตัวเองกับธรรมบัญญัติเป็นแขนขากำลังให้ไปสู่นรก
มีคำสอนที่ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อชีวิตจะได้หายไปเลยคงมาจากการเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอย่างที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ แต่ความจริงล่ะ เพราะพระเจ้าคือผู้กำหนดทางออกที่ง่ายที่สุดก็คือตาม มันไม่ใช่ว่าเราจะไปเปลี่ยนแปลงวิถีทางของพระเจ้าได้ดั่งใจตัวเอง ได้แต่เสียเวลาไปเปล่าๆ เท่านั้นครับ เหมือนพยายามจะฝืนว่ายทวนน้ำเชี่ยว จะทำได้นานแค่ไหน? พระเจ้าบอกเหมือนคนพยายามจะเปลี่ยนลายเสือหรือเปลี่ยนคนดำให้เป็นคนขาว ก็ได้แค่ความเหนื่อยและถอยหลังไปเรื่อยจนพินาศเท่านั้นครับกับการฝืนธรรมชาติหรือวิถีทางของพระเจ้านี้ครับ
แต่ถ้าเราว่ายตามน้ำมันก็เบาง่ายและขึ้นหน้าตลอดด้วย เหมือนขึ้นบันไดเลื่อน ยืนเฉยๆ ยังขึ้นหน้าได้เลยครับ
ซึ่งความจริงมันก็น่าเบื่อหน่ายจริงๆ กับชีวิตที่ต้องรับผิดชอบกับตัวเอง ปกป้องตัวเองให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่แปลกที่มีข่าวคนเมาเป็นบ้าหรือฆ่าตัวตายออกมาให้ได้ยินเรื่อยๆ เพราะคนมันไม่อยากรับรู้กับสภาพของโลกแห่งบาปนี้ครับ
ก็ได้แต่ต้องหันกลับมาดูมาเรียนรู้กับวิถีทางของพระเจ้าต่อไป นำทุกเรื่องที่เจอกลับมาหาพระองค์ให้เจอเรื่องราวเหล่านี้เพื่ออะไร เพราะเป็นพระองค์เองที่ส่งทุกเรื่องเข้ามาในชีวิต เพื่อสอนการเชื่อวางใจเพียงพระองค์นี้ครับ
เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่จำความได้ก็ใช้ชีวิตมาด้วยจิตใจของตัวเอง ผลก็คือล้มเหลวทุกเรื่อง ตามที่พระเจ้าบอกไว้จริงๆ มาตอนนี้กลับมาหาพระเจ้าแล้ว ก็ได้แต่ต้องเรียนรู้การฝากไว้กับพระเจ้าและดูต่อไปว่าพระเจ้าจะนำพวกเราแต่ละคนไปยังไงครับ
เมื่อเช้าก็ได้ฟังพระคำจากคริสตจักร พูดเรื่องการตักเตือน เป็นเรื่องสำคัญจำเป็นต่อการใช้ชีวิตบนโลกนี้ ทั้งรับและให้กับผู้อื่น ผมก็ได้แต่ต้องกลับใจในการที่จะต้องพูดตักเตือนกับภรรยาลูกหรือสมาชิกผู้อื่นเพื่อสวัสดิภาพของพวกเขา เพราะนี้คือจิตใจของพระเจ้าครับ
โฆษณา