ประกันภัยรถยนต์: เลือกแบบไหนให้คุ้มค่าที่สุด
เมื่อปีที่แล้ว ผมเพิ่งถอยรถยนต์คันแรกออกมาจากโชว์รูม รถสีขาวเงาวับ ราคา 6 แสนบาท ผมดีใจจนแทบลืมทุกอย่าง ขับรถไปอวดเพื่อนทั้งวันโดยไม่สนใจเรื่องประกันภัยรถยนต์ (Car Insurance) จนวันหนึ่งฝนตกหนัก ถนนลื่น รถผมพุ่งไปชนเสาไฟข้างทางกันชนหน้าแตก ซ่อมเสียไป 30,000 บาท เงินเก็บที่อุตส่าห์สะสมมาทั้งปีหายไปครึ่งนึงในพริบตา เพื่อนเห็นผมหน้าซีด เลยถามว่า “ทำไมไม่ทำประกันให้ดีกว่านี้?” คำถามนั้นเหมือนตบหน้าผมให้ตื่น ผมเริ่มหาข้อมูล และวันนี้จะเล่าให้ฟังว่าเลือกประกันแบบไหนถึงจะคุ้มกับเงินในกระเป๋า
จุดเริ่มต้น: ความหลงลืมที่เกือบพังชีวิต
ตอนซื้อรถ ผมเลือกประกันชั้น 3 เพราะเห็นว่าเบี้ยถูกสุด แค่ 3,000 บาทต่อปี คิดในใจว่า “ขับดีอยู่แล้ว คงไม่ต้องจ่ายแพง” แต่หลังอุบัติเหตุครั้งนั้น ผมรู้เลยว่าประกันถูกอาจไม่ใช่คำตอบที่ฉลาด การเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) ของผมสะเทือนหนัก ต้องควักเงินเก็บมาใช้แบบไม่ทันตั้งตัว ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้ามีประกันดีกว่านี้ ผมจะรอดจากเหตุการณ์แบบนี้ได้มั้ย? ผมอยากได้ประกันที่ช่วยเซฟทั้งรถและเงินในบัญชี
ปัญหา: ตัวเลือกเยอะจนมึน กลัวเลือกผิด
ผมเปิดดูข้อมูลประกัน มีตั้งแต่ชั้น 1, 2+, 2, 3+, 3 แต่ละแบบราคาต่างกันเยอะ เบี้ยตั้งแต่ 3,000 ถึง 20,000 บาทต่อปี ผมงงไปหมด—ชั้น 1 ดีสุดแต่แพงเกินไป ชั้น 3 ถูกแต่คุ้มครองแค่นิดเดียว ถ้าชนขึ้นมาจะครอบคลุมแค่ไหน? ผมกลัวเลือกผิดแล้วต้องมานั่งเสียเงินซ่อมรถเองอีก เพื่อนคนนึงเล่าให้ฟังว่า เขาเคยทำชั้น 3+ แต่รถหาย ประกันไม่จ่าย เขาต้องผ่อนรถที่ไม่มีอยู่อีก 2 ปี ผมไม่อยากเจอแบบนั้น
ทางออก: เลือกประกันให้เหมาะกับชีวิตและรถ
หลังจากคุยกับเพื่อน ปรึกษาคนในครอบครัว และโทรเช็คกับบริษัทประกันหลายเจ้า ผมเจอวิธีเลือกที่ลงตัวจากประสบการณ์จริง:
ชั้น 1: ครบครันแต่แพง เหมาะกับรถใหม่
ประกันชั้น 1 คุ้มครองทุกอย่าง—ชน หาย ไฟไหม้ แม้แต่รถลื่นไปชนเสาแบบผม เบี้ยประมาณ 18,000-20,000 บาทต่อปี เหมาะกับรถใหม่หรือคนที่กลัวความเสี่ยง (Risk Protection) สุดๆ ผมคำนวณแล้ว ถ้ารถผมยังใหม่กว่านี้คงเลือกแบบนี้ แต่รถผมอายุ 6 ปี บริษัทบอกว่าเบี้ยอาจสูงขึ้นและบางเจ้าไม่รับ
ชั้น 2+: คุ้มกลางๆ เหมาะกับรถมือสอง
เบี้ยอยู่ที่ 7,000-9,000 บาท คุ้มครองรถหาย ไฟไหม้ และชนกับยานพาหนะ ผมคิดว่านี่แหละน่าสนสำหรับรถผม ถ้ารถไม่ใหม่มากแต่ยังอยากได้ความอุ่นใจ ผมลองเช็คดู ถ้าชนเสาแบบครั้งก่อน ประกันไม่คุ้ม แต่ถ้าชนรถคันอื่นหรือรถหายก็รอด
ชั้น 3+: ประหยัดแต่จำกัด
เบี้ย 5,000 บาท คุ้มแค่คู่กรณีถ้าชน ผมเห็นว่าเหมาะกับคนที่ขับรถนานๆ ครั้ง หรือรถเก่าที่ไม่ค่อยใช้ ผมเคยคิดจะต่อชั้นนี้ แต่รู้สึกว่าไม่ตอบโจทย์ชีวิตผมที่ขับทุกวัน
ชั้น 3: ถูกสุดแต่เสี่ยงสุด
เบี้ย 3,000 บาท คุ้มแค่คู่กรณีแบบจำกัด ผมเคยใช้แล้วเจ็บมา เลยรู้ว่าไม่เหมาะกับคนที่อยากได้ความคุ้มครอง (Insurance Coverage) มากกว่านี้
สุดท้าย ผมเลือกชั้น 2+ เพราะรถผมอายุ 6 ปี ขับในเมืองบ่อย ชนบ่อย เบี้ย 8,000 บาทต่อปีดูสมเหตุสมผล ความคุ้มครองครอบคลุมพอสมควร ไม่ต้องกังวลว่ารถหายหรือชนแล้วจะลำบาก การวางแผนการเงิน (Financial Planning) ของผมเริ่มลงตัวขึ้น
ผลลัพธ์: ความสบายใจที่ซื้อได้ด้วยเงินไม่กี่พัน
หลังเปลี่ยนมาทำชั้น 2+ เดือนที่แล้วรถผมเฉี่ยวมอเตอร์ไซค์ คู่กรณีเรียกค่าเสียหาย 10,000 บาท ประกันจ่ายให้หมด ผมไม่ต้องควักสักบาท ความมั่นคงทางการเงิน (Financial Stability) กลับมาเต็มเปี่ยม ผมรู้สึกว่าประกันไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุน (Investment) เพื่อความปลอดภัยและความสงบใจ ครั้งหน้าถ้าฝนตกหนัก ผมจะขับรถได้แบบไม่ต้องกลัวซ่อมแพงอีก
เคล็ดลับจากประสบการณ์จริง
ถ้าคุณกำลังเลือกประกัน ลองดูว่ารถคุณอายุเท่าไหร่ ขับบ่อยแค่ไหน ผมแนะนำให้เช็คเบี้ยจากหลายบริษัท—บางเจ้ามีส่วนลดถ้าจ่ายเต็ม หรือถ้าคุณขับดีไม่มีเคลม เบี้ยอาจถูกลงปีถัดไป ผมเคยลืมถามเรื่องทุนประกัน (Sum Insured) เกือบได้วงเงินคุ้มครองต่ำเกินไป ดูดีๆ นะครับ อีกอย่าง ถ้ารถใหม่ อย่าลังเลกับชั้น 1 แต่ถ้ารถเกิน 5 ปี ลอง 2+ หรือ 3+ ดู
ทำไมต้องเลือกให้ดี?
รถยนต์ไม่ใช่แค่พาหนะ แต่เป็นทรัพย์สินที่เราต้องดูแล ผมเคยคิดว่าประกันเป็นเรื่องไกลตัว จนวันที่ต้องจ่ายเงินก้อนโตถึงรู้ว่ามันสำคัญ คุณลองนึกภาพตามผมสิ—ถ้าชนแล้วไม่ต้องเครียดเรื่องเงิน คุณจะรู้สึกยังไง? ลองเช็ครถคุณวันนี้ดู แล้วเลือกประกันที่ใช่ ผมเชื่อว่าความคุ้มค่านี้หาได้ไม่ยาก
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
