28 มี.ค. เวลา 02:30 • ธุรกิจ

สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งวงการเล็บ ผู้เปลี่ยนอุปกรณ์ทำฟัน ให้เป็นแบรนด์ดังระดับโลก

OPI คือ แบรนด์ยาทาเล็บชื่อดังระดับตำนาน ที่สาว ๆ หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี ทั้งในด้านคุณภาพ และเฉดสีที่มีให้เลือกมากมาย
แต่เชื่อหรือไม่ว่า.. OPI เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทอุปกรณ์ทันตกรรม ก่อนจะผันตัวมาทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเล็บ
อีกทั้ง ยังทำให้ผู้ร่วมก่อตั้งอย่างคุณ Suzi Weiss-Fischmann กลายเป็นที่รู้จักในฐานะ “สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งวงการเล็บ” จากการผลักดันให้ OPI เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
OPI เดิมมีชื่อว่า Odontorium Products Inc. โดยเป็นบริษัทอุปกรณ์ทันตกรรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแอลเอ ที่คุณ Suzi Weiss-Fischmann บริหารร่วมกับคุณ George Schaeffer พี่เขยของเธอ
จนกระทั่งในปี 1982 ทั้งคู่สังเกตเห็นว่าช่างทำเล็บและเจ้าของร้านเสริมสวย มักจะมาซื้อเมทิลเมทาคริเลต (MMA) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตฟันปลอม เพื่อนำไปต่อเล็บอะคริลิก
ประกอบกับในตอนนั้น คุณ Weiss-Fischmann เองก็รู้สึกไม่พอใจกับตัวเลือกยาทาเล็บที่มีในตลาด ซึ่งมีให้เลือกไม่กี่เฉดสี แถมยังดูจืดชืดน่าเบื่อ
จุดนี้เองที่ทำให้คุณ Weiss-Fischmann และคุณ Schaeffer เห็นช่องว่างในตลาดความงามที่ยังไม่มีใครเติมเต็ม
แถมพวกเขายังรู้ว่าปัญหาในการใช้ MMA ก็คือ สารประกอบนี้ยึดเกาะแน่นมาก หากเล็บเกิดการกระแทกแรง ๆ ก็มีโอกาสสูงที่เล็บธรรมชาติจะหลุดออกไปพร้อมกับอะคริลิกที่อยู่ด้านบนได้
ทั้งคู่จึงพยายามสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นและปลอดภัยขึ้น ด้วยการไปร่วมมือกับคุณ Eric Montgomery ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี เพื่อพัฒนาสูตรอะคริลิกที่เหมาะสำหรับเล็บมือ
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเจาะตลาดใหม่โดยการส่งผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ไปตามร้านเสริมสวย จนได้รับความนิยมจากเหล่าช่างทำเล็บมืออาชีพ
ต่อมาบริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น OPI Products Inc. เข้าสู่ธุรกิจอุปกรณ์ทำเล็บอย่างเต็มตัว และขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
ปี 1989 เปิดตัวผลิตภัณฑ์ยาทาเล็บ 30 สีแรก
ปี 2003 เปิดตัวยาทาเล็บสำหรับสุนัข ในชื่อ Pawlish
ปี 2010 OPI ได้ขายกิจการให้กับ Coty บริษัทความงามรายใหญ่ของโลก
นอกจากประวัติของ OPI ที่สร้างความประหลาดใจให้กับเราแล้ว กลยุทธ์การตลาดของแบรนด์นี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
ในช่วงแรก OPI ใช้จุดแข็งเรื่องสีติดทนนาน ทาง่าย แห้งไว วางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์สำหรับมืออาชีพที่มีคุณภาพสูง แล้วโฟกัสไปที่กลุ่มลูกค้า Professional
เริ่มเจาะตลาด “ซาลอนมืออาชีพ” พอได้รับความไว้วางใจจากช่างทำเล็บ ลูกค้าทั่วไปก็อยากซื้อไปใช้เองที่บ้านด้วย เรียกได้ว่าเป็นการใช้ B2B สร้าง B2C ได้อย่างแยบยล
ไม่เพียงเท่านั้น การตั้งชื่อสียาทาเล็บ ยังทำให้ OPI ต่างจากแบรนด์อื่น ๆ
โดยคุณ Weiss-Fischmann ผู้อยู่เบื้องหลังการตั้งชื่อสีของ OPI ไม่ได้ตั้งชื่อเป็นรหัสตัวเลขแบบทั่วไป แต่ตั้งชื่อสีที่มีเรื่องราว ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแต่ละสีมีคาแรกเตอร์เป็นของตัวเอง ตัวอย่างเช่น
- Do You Lilac It? สีม่วงอ่อนที่ตั้งชื่อล้อกับ “Do You Like It?”
- Black to Reality สีแดงอมดำที่ให้ความรู้สึกถึงความโหดร้ายของโลกแห่งความจริง
- Kyoto Pearl สีขาวมุกที่สื่อถึงไข่มุกอันเลื่องชื่อของเกียวโต
- Cajun Shrimp สีแดงอมส้มที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารเผ็ดร้อนของรัฐลุยเซียนา
ซึ่งเทคนิคการตั้งชื่อสีจากอาหาร วัฒนธรรม สถานที่ในประเทศต่าง ๆ ยังช่วยให้สินค้าดูมีชีวิตชีวา และเป็นที่พูดถึงบนโลกออนไลน์อีกด้วย
อีกทั้ง OPI ยังมีการร่วมมือกับศิลปินชื่อดัง ออกคอลเลกชันสีพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น คุณ Justin Bieber คุณ Nicki Minaj และคุณ Katy Perry
แบรนด์ระดับโลก เช่น Coca-Cola, Ford Mustang หรือแม้แต่ Dell Computer
รวมถึงออกคอลเลกชันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์และซีรีส์ดัง เช่น James Bond, Hello Kitty และ Barbie ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้หลายกลุ่ม
ทั้งหมดนี้ ก็คือเรื่องราวของ OPI ที่ไม่ใช่เพียงกรณีศึกษาทางธุรกิจที่น่าสนใจ
แต่อาจเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า หากเรามองเห็น “โอกาส” แล้วลงมือทำอย่างตั้งใจ มันอาจนำเราไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แม้จะเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เท่า “ปลายเล็บ” ก็ตาม..
โฆษณา