27 มี.ค. เวลา 14:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ

💰 คาสิโนถูกกฎหมาย... ใครได้ประโยชน์ | เขียนโดย ChatGPT Deep research

บอกเลยว่าโพสต์นี้ไม่กล้าเขียนเองค่ะ ดังนั้นสั่งให้ AI ไปทำ research มาให้แทนแล้วกัน แอดจะแค่จัดระเบียบให้เรียบร้อยเท่านั้น
_________________________
ประเทศไทยกำลังพิจารณาเปิด สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ที่มีคาสิโนอย่างถูกกฎหมาย เพื่อเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ข้อมูลจากองค์กรการเงินสากลและสถาบันวิจัยต่างประเทศชี้ให้เห็นถึงประโยชน์หลายด้านที่ไทยอาจได้รับ ทั้งทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และสังคม โดยมีกรณีศึกษาจากต่างประเทศรองรับ
แนวคิดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทที่ภาคการท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อไทยอย่างมาก (คิดเป็นเกือบ 20% ของ GDP ของประเทศ) ซึ่งการเสริมสร้างจุดหมายปลายทางใหม่ๆ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม
📊 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: GDP การจ้างงาน และรายได้รัฐ
การจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรที่มีคาสิโนถูกกฎหมายในไทยได้รับการประเมินโดยสถาบันการเงินโลกว่าจะสร้างผลดีทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ:
👉🏻 เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ (GDP): ธนาคารเพื่อการลงทุน JPMorgan วิเคราะห์ว่าโครงการคาสิโนรีสอร์ทในไทยสามารถสร้างรายได้จากการเล่นเกม (Gross Gaming Revenue – GGR) สูงถึงปีละ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1% ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย
1
หากประเทศไทยออกใบอนุญาตหลายแห่งทั่วประเทศ ศักยภาพรายได้อาจเพิ่มขึ้นไปถึง 9.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นตลาดเกม (casino market) ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากมาเก๊าและลาสเวกัส (แซงหน้าสิงคโปร์ที่มีรายได้ราว 8.3 พันล้านดอลลาร์)

รายได้ระดับนี้สะท้อนน้ำหนักทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ สามารถกระตุ้นการเติบโตของ GDP ในช่วงหลังการระบาดที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า
👉🏻 รายได้ภาษีเข้ารัฐ: รายงานของ Citi และ Maybank Securities ระบุว่ารัฐบาลไทยมีแนวโน้มจะกำหนด อัตราภาษีจากธุรกิจคาสิโนที่ 17% ของรายได้ ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในภูมิภาค (เมื่อเทียบกับมาเก๊า 40%, ญี่ปุ่น 30%, สิงคโปร์ 18–22%) เพื่อดึงดูดการลงทุนจากผู้ประกอบการต่างชาติ
แม้อัตราภาษีจะไม่สูง แต่ด้วยขนาดตลาดที่ใหญ่ รายได้ภาษีปีละ ~17% ของ GGR 5 พันล้านดอลลาร์ก็ยังหมายถึงเงินเข้ารัฐราว 150,000–170,000 ล้านบาทต่อปี (ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยน) ทั้งนี้บทวิเคราะห์จาก Maybank ประเมินว่าสถานบันเทิงครบวงจรสามารถสร้างรายได้รวมคิดเป็นประมาณ 1% ของ GDP หรือกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขของ JPMorgan

รายได้ดังกล่าวจะเกื้อหนุนฐานะการคลังของไทย โดยเฉพาะเมื่อควบคุมธุรกิจสีเทาให้เข้าสู่ระบบภาษี
👉🏻 การจ้างงานและการลงทุน: โครงการคาสิโนครบวงจรขนาดใหญ่ต้องการเงินลงทุนมหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์และใช้เวลาก่อสร้างหลายปี สิ่งนี้จะสร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวนมาก กระทรวงการคลังของไทย คาดการณ์ว่าการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรจะ สร้างงานใหม่ราว 9,000–15,000 ตำแหน่ง ในระยะยาว
1
ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศบางแห่งรายงานตัวเลขสูงสุดถึง 20,000 ตำแหน่ง เมื่อรวมทั้งงานในสถานประกอบการและงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ในช่วงก่อสร้าง เงินลงทุนจากต่างชาติและในประเทศจะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย ช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ เมื่อเปิดดำเนินการแล้ว ยังมีการจ้างงานทางอ้อมในห่วงโซ่อุปทาน เช่น ธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก และบริการอื่นๆ โดยรอบแหล่งตั้งโครงการ
💸 ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว: นักท่องเที่ยว จำนวนการเข้าชม และรายจ่ายต่อหัว
การท่องเที่ยว เป็นเป้าหมายหลักที่รัฐบาลไทยหวังผลักดันผ่านโครงการคาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร จากข้อมูลและบทวิเคราะห์ขององค์กรเศรษฐกิจสากล พบข้อบ่งชี้เชิงบวกหลายประการ:
👉🏻 ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่ม: รัฐบาลคาดหวังว่าการเปิดรีสอร์ทครบวงจรเหล่านี้จะช่วย เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5–10% ต่อปี จากระดับปกติ
เมื่อปี 2024 ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 35.32 ล้านคน และมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.66 ล้านล้านบาท 
หากเพิ่มขึ้นอีก 5–10% ก็เท่ากับดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อีกหลายล้านคนต่อปี ส่งผลให้ประเทศไทยอาจทะลุเป้าหมายนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน ในปี 2025 ที่ตั้งไว้โดยรัฐบาล
👉🏻 เพิ่มรายได้และการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยว: จุดเด่นของรีสอร์ทคาสิโนคือความสามารถในการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยว ใช้จ่ายมากขึ้นต่อการเดินทาง นักวิเคราะห์คาดว่าเมื่อมีสถานบันเทิงครบวงจร ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มจากประมาณ 40,000 บาท เป็น 60,000 บาทต่อคน (เพิ่มขึ้น ~50%)
ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของสื่อสากลที่ระบุว่านักท่องเที่ยวต่างชาติอาจใช้จ่ายมากขึ้นถึง 40% ต่อการเดินทาง เมื่อมีสิ่งดึงดูดอย่างคาสิโนรีสอร์ทระดับโลก การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายต่อหัวนี้หมายถึงเม็ดเงินเข้าประเทศที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น หากนักท่องเที่ยว 1 ล้านคนใช้จ่ายเพิ่มคนละ 20,000 บาท ก็สร้างเงินหมุนเวียนเพิ่ม 20,000 ล้านบาท
ผลการศึกษาของหน่วยงานไทยชี้ว่าโครงการนี้อาจเพิ่มรายได้ท่องเที่ยวปีละ 120,000–220,000 ล้านบาท(ประมาณ 3.5–6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งจะหนุนให้รายได้รวมจากการท่องเที่ยวกลับมาเติบโตหลังจากชะงักไปช่วงโควิด ทั้งนี้ควรทราบว่าก่อนการระบาดใหญ่ ภาคท่องเที่ยวไทยสร้างรายได้มหาศาลถึง ~1.6 ล้านล้านบาท (46 พันล้านดอลลาร์) ในปี 2019
👉🏻 ยกระดับคุณภาพนักท่องเที่ยวและระยะเวลาพำนัก: สถานบันเทิงครบวงจรที่มีคาสิโนมักดึงดูด นักท่องเที่ยวคุณภาพสูงเช่น กลุ่มนักธุรกิจ นักเสี่ยงโชคที่มีกำลังซื้อ และนักเดินทางระดับบน ซึ่งกลุ่มนี้มัก พักอยู่นานขึ้นและใช้จ่ายต่อวันสูงกว่า นักท่องเที่ยวทั่วไป
รายงาน JPMorgan ชี้ว่ารายได้ของรีสอร์ทอาจมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 50% ของทั้งหมด สะท้อนว่าคาสิโนจะเป็นปัจจัยเสริมดึงดูดผู้มาเยือนจากต่างประเทศโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับกรณีของสิงคโปร์ที่เมื่อเปิดรีสอร์ทคาสิโน จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทันที 20% ในปีแรก (2010) และรายได้ท่องเที่ยวขยายตัวถึง 49% แตะระดับ 18.8 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท)
ทั้งยังเติบโตต่อเนื่องในทศวรรษถัดมา จนทุบสถิติที่ 27.5–29 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์(ราว 7.3 แสนล้านบาท) ในปี 2019 ก่อนโควิด ประสบการณ์นี้แสดงให้เห็นว่ารีสอร์ทแบบครบวงจรช่วยยกระดับทั้งปริมาณและคุณภาพการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
⚠️ ผลกระทบทางสังคมและโครงสร้างพื้นฐาน: การพัฒนาในประเทศและพื้นที่โดยรอบ
นอกจากผลเชิงเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวโดยตรงแล้ว โครงการคาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจรยังส่งผลทางสังคมเชิงบวกในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้:
👉🏻 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก: การก่อสร้างรีสอร์ทครบวงจรต้องรวมเอาสิ่งอำนวยความสะดวกหลายด้านไว้ในที่เดียว เพื่อสร้าง “จุดหมายปลายทาง” ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว รองนายกฯ และ รมช.การคลังของไทย (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) ระบุว่ารีสอร์ทที่จะสร้างในไทยจะประกอบด้วย
คาสิโนและแหล่งท่องเที่ยวอื่นอย่างน้อย 4 ประเภท เช่น โรงแรมระดับห้าดาว สวนน้ำ สวนสนุก ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ หรือสถานที่จัดการแสดง เพื่อดึงดูดครอบครัวและนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม โดยเน้นว่า “เราจะสร้างจุดหมายปลายทางที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made destinations) เพื่อให้ครอบครัวสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้”
การลงทุนในสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวของประเทศ เช่น ปรับปรุงระบบคมนาคมขนส่ง (ถนน สนามบิน ท่าเรือ) รองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ตลอดจนระบบสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา และการสื่อสารในพื้นที่โครงการ
👉🏻 เมกะโปรเจ็กต์กระตุ้นการพัฒนาเมือง: โครงการขนาดใหญ่จะเป็น จุดศูนย์กลางในการพัฒนาเขตเมืองหรือเขตเศรษฐกิจใหม่ ยกตัวอย่าง ข้อเสนอจากภาคเอกชนต่างชาติรายหนึ่ง ที่สนใจลงทุนสร้างรีสอร์ทครบวงจรในกรุงเทพฯ (เขตหนองจอก) มีแผนผังโครงการถึง 1,000 เอเคอร์ (ประมาณ 2,500 ไร่) ประกอบด้วยคาสิโนล้ำสมัย สนามแข่งรถสูตรหนึ่ง (Formula 1) ภายในโครงการ สนามกอล์ฟ โรงแรมหรูหลายแห่ง และแหล่งบันเทิงอื่นๆ
การลงทุนมูลค่ามหาศาลระดับ 3–6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อแห่ง นี้ไม่เพียงสร้างแลนด์มาร์คใหม่ แต่ยังเป็นการพัฒนาย่านชานเมืองให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์กลางเศรษฐกิจย่อยๆ ด้วย โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะให้เอกชนลงทุนในหลายจังหวัดทั่วประเทศอย่างสมดุล มิใช่กระจุกอยู่เพียงเมืองหลวง
ในระยะเริ่มต้นรัฐบาลมีแนวคิดออกใบอนุญาต 5 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ (2 แห่ง) และเมืองท่องเที่ยวสำคัญคือ พัทยา, ภูเก็ต และเชียงใหม่ อย่างละ 1 แห่ง ซึ่งจะช่วยกระจายการพัฒนาไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างกรุงเทพฯ กับเมืองรอง สร้างกิจกรรมเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ในท้องถิ่น เช่น ถนนหนทาง การขยายสนามบิน หรือระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่เหล่านั้น
👉🏻 การลงทุนโดยรอบและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง: เมื่อมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้น ย่อมดึงดูด การลงทุนในพื้นที่โดยรอบจากทั้งภาครัฐและเอกชน ตามมาด้วย เช่น การเกิดขึ้นของศูนย์การค้า ร้านอาหาร แหล่งบันเทิงย่อย คอนโดมิเนียมหรือที่พักอาศัยสำหรับพนักงานและนักท่องเที่ยวระยะยาว ตลอดจนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการ
การศึกษาของ World Bank ระบุว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองสามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและดึงดูดทุนเข้าพื้นที่ได้มากขึ้นหากบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยยืนยันว่าจะกำกับดูแล ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตใช้เงินทุนโปร่งใสและได้มาตรฐานสากล ป้องกัน “ทุนสีเทา” หรือกิจกรรมผิดกฎหมาย ไม่ให้ฉวยโอกาสเข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการ
👉🏻 การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านไมซ์ (MICE) และบันเทิง: สถานบันเทิงครบวงจรมักจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ (Convention Center) และสถานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตหรือโชว์ระดับโลก ซึ่งช่วยยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการจัดงานนิทรรศการ การประชุมระดับนานาชาติ และอีเวนต์บันเทิงต่างๆ เช่นเดียวกับที่สิงคโปร์ใช้ Marina Bay Sands เป็นแม่เหล็กดึงดูดงานประชุมและนิทรรศการนานาชาติหลายงาน
สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อเนื่องในการพัฒนา ทุนมนุษย์ (เช่น แรงงานที่มีทักษะด้านบริการ การโรงแรม ความบันเทิง) และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยเป็น แหล่งท่องเที่ยวครบวงจร ที่มีทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม และความบันเทิงสมัยใหม่ครบครัน
📜 บทเรียนจากต่างประเทศ: กรณีศึกษาความสำเร็จของคาสิโนรีสอร์ท
ปรากฏการณ์ “คาสิโนในสถานบันเทิงครบวงจร” ไม่ใช่เรื่องใหม่บนเวทีโลก หลายประเทศได้ดำเนินโครงการลักษณะนี้และประสบความสำเร็จอย่างมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ไทยสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของต่างประเทศเหล่านี้:
🇸🇬 สิงคโปร์ – รายได้พุ่งและท่องเที่ยวบูม: สิงคโปร์ตัดสินใจเปิดคาสิโนถูกกฎหมายเป็นครั้งแรกในปี 2010 โดยออกใบอนุญาตสร้างรีสอร์ทครบวงจร 2 แห่ง (Marina Bay Sands และ Resorts World Sentosa) ผลลัพธ์คือในปีแรกหลังคาสิโนเปิด จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งขึ้น 20% ทำสถิติ 11.6 ล้านคน ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 49% แตะระดับสูงสุดในรอบทศวรรษ
ความสำเร็จนี้ดำเนินต่อเนื่องตลอดทศวรรษ 2010s โดยมีนักท่องเที่ยวเข้าเยือนสิงคโปร์ 19.1 ล้านคนในปี 2019 (เพิ่มเกือบเท่าตัวจากปี 2009) และสร้างรายได้ท่องเที่ยวสูงเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 27.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 7.3 แสนล้านบาท)
คาสิโนรีสอร์ทกลายเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวทั่วไปและนักพนันระดับวีไอพี จนปัจจุบันสิงคโปร์ติดอันดับหนึ่งในศูนย์กลางการท่องเที่ยวและความบันเทิงของเอเชีย โดยรัฐบาลยังได้ควบคุมผลกระทบทางลบผ่านมาตรการต่างๆ เช่น ค่าเข้า 150 ดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับคนท้องถิ่น และโครงการส่งเสริมการพนันอย่างมีความรับผิดชอบ
🇲🇾 มาเลเซีย (เก็นติ้งไฮแลนด์) – สร้างงานและกระจายรายได้ภูมิภาค: มาเลเซียมี Resorts World Genting เป็นตัวอย่างของแหล่งบันเทิงครบวงจรที่ประสบความสำเร็จมายาวนาน (เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 1971) แม้เก็นติ้งจะตั้งอยู่บนยอดเขาห่างไกลเมืองหลวง แต่กลับดึงดูดผู้เยี่ยมชมได้มหาศาล กว่า 20–25 ล้านคนต่อปี ในช่วงก่อนโควิด
ภายในรีสอร์ทประกอบด้วยคาสิโน สวนสนุก เครื่องเล่น โรงแรมกว่า 10 แห่ง และห้างร้านครบวงจร ความสำเร็จของเก็นติ้งสร้างงานในท้องถิ่นนับหมื่นตำแหน่ง และกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคปะหัง รวมถึงสร้างรายได้ให้รัฐบาลมาเลเซียผ่านภาษีและค่าธรรมเนียมใบอนุญาต นอกจากนี้ เก็นติ้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญสำหรับครอบครัวและนักเดินทางจากต่างประเทศ (รวมถึงไทย) ที่ต้องการประสบการณ์บันเทิงครบวงจรในสภาพอากาศเย็นบนภูเขา
🇵🇭 ฟิลิปปินส์ – ศูนย์กลางคาสิโนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ฟิลิปปินส์พัฒนาเขต Entertainment City ในกรุงมะนิลา ซึ่งมีคาสิโนรีสอร์ทระดับโลกหลายแห่ง (เช่น Solaire, City of Dreams, Okada) ตั้งแต่ช่วงปี 2013 เป็นต้นมา
ความเคลื่อนไหวนี้ผลักดันให้รายได้จากธุรกิจเกมในฟิลิปปินส์เติบโตอย่างรวดเร็ว จนก่อนเกิดโควิดรายได้ GGR แตะระดับประมาณ 4–5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ใกล้เคียงกับสิงคโปร์ ภาครัฐฟิลิปปินส์ได้รับรายได้ภาษีจำนวนมาก และมะนิลากลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของนักท่องเที่ยวเชิงเสี่ยงโชค
โดยในอนาคตฟิลิปปินส์มีเป้าหมายเพิ่ม GGR เป็น 10 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะแข่งขันกับตลาดไทยหากไทยเปิดคาสิโนเช่นกัน (Citi คาดการณ์ว่าไทยมีศักยภาพถึง 9.1 พันล้านดอลลาร์ดังที่กล่าวข้างต้น)

กรณีฟิลิปปินส์ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาคาสิโนสามารถอยู่ร่วมกับการท่องเที่ยวทั่วไปได้ โดยรัฐบาลมีบทบาทในการกำกับดูแลไม่ให้เกิดการผูกขาด และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพิ่มเติมในภาคการท่องเที่ยวอื่นๆ ควบคู่กัน
🇲🇴 มาเก๊า – ศูนย์กลางกาสิโนโลก: แม้บริบทของมาเก๊าจะแตกต่างจากไทย (เนื่องจากพึ่งพาการพนันเป็นหลัก) แต่ก็เป็นตัวอย่างที่แสดง ศักยภาพสูงสุดของอุตสาหกรรมคาสิโน มาเก๊ามีรายได้จากคาสิโนสูงที่สุดในโลก (เคยสูงถึงปีละ ~45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐก่อนปี 2014) คิดเป็นสัดส่วนใหญ่กว่า 50% ของ GDP และประมาณ 80% ของรายได้รัฐบาล
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าคาสิโนสามารถสร้างรายได้มหาศาลและยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ (มาเก๊ามี GDP per capita สูงติดอันดับโลก) อย่างไรก็ดี กรณีมาเก๊าก็เตือนให้ไทยเห็นถึงความสำคัญของการ รักษาสมดุล เพราะการพึ่งพาคาสิโนมากเกินไปอาจทำให้เศรษฐกิจผันผวนตามอุตสาหกรรมนี้ ดังเช่นที่มาเก๊าเจอภาวะตกต่ำเมื่อจีนเข้มงวดนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันและ COVID-19 ทำให้จำนวนนักพนันลดลง
🇯🇵 ญี่ปุ่น – แผนการพัฒนาที่มาพร้อมความรอบคอบ: ญี่ปุ่นเพิ่งอนุมัติให้สร้างคาสิโนแห่งแรกในปี 2022 โดยโครงการ MGM Osaka IR มูลค่า ~1.27 ล้านล้านเยน (ประมาณ 8.9 พันล้านดอลลาร์) ที่เมืองโอซาก้าจะเปิดในปี 2030
ญี่ปุ่นตั้งเป้าให้รีสอร์ทนี้ ดึงดูดนักท่องเที่ยว ~20 ล้านคนต่อปี (แบ่งเป็นต่างชาติ 6 ล้าน และในประเทศ 14 ล้านคน) สร้างรายได้ปีละ 520 พันล้านเยน (3.6 พันล้านดอลลาร์) โดย ~80% มาจากคาสิโน พร้อมทั้งมีองค์ประกอบด้านการท่องเที่ยวครบวงจร เช่น โรงแรม ศูนย์ประชุม ห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ และท่าเรือเฟอร์รี่
รัฐบาลญี่ปุ่นมองโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์กระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด และเน้นกลุ่มเป้าหมายนักพนันต่างชาติจากเอเชียตะวันออกที่มีกำลังเล่นสูง เช่น ชาวจีน เกาหลีใต้ ความรอบคอบของญี่ปุ่นคือการวางกฎระเบียบเข้มงวด (เช่น ค่าธรรมเนียมเข้าคาสิโนสำหรับคนญี่ปุ่น 6,000 เยน และจำกัดการเข้าต่อสัปดาห์) ควบคู่กับการประเมินผลกระทบทางสังคมอย่างรัดกุม ไทยสามารถศึกษารูปแบบการกำกับดูแลนี้เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับบริบทไทยต่อไป
🎯 โดยสรุป: การเปิดสถานบันเทิงครบวงจรพร้อมคาสิโนในประเทศไทยมีแนวโน้มจะก่อให้เกิด ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และสังคม อย่างมาก ดังที่ข้อมูลและบทวิเคราะห์จาก IMF, ธนาคารโลก และสถาบันการเงินชั้นนำต่างประเทศได้ชี้ไว้
ผลดีเหล่านี้รวมถึงการเพิ่มขึ้นของ GDP และรายได้ภาครัฐ การจ้างงานที่มากขึ้น การดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพและกระตุ้นการใช้จ่าย รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ควบคู่กับการเก็บเกี่ยวประโยชน์เหล่านี้ รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการกำกับดูแลที่รัดกุมเพื่อลดความเสี่ยงทางสังคม เช่น ปัญหาการพนันและอาชญากรรมข้ามชาติ ให้สอดคล้องกับตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศด้วยการดำเนินนโยบายที่รอบคอบ
ไทยมีโอกาสที่จะเปลี่ยนโฉมประเทศให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและความบันเทิงแห่งใหม่ของภูมิภาค สร้างรายได้มหาศาลและความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
_________________________
โฆษณา