28 มี.ค. เวลา 10:00 • ข่าวรอบโลก

เปิดรายงานชวนช็อก เกาหลีใต้ “ส่งออกเด็ก” มากกว่า 170,000 คน

รายงานชวนช็อกเผย หลายสิบปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้ “ส่งออกเด็ก” ไปเป็นบุตรบุญธรรมผิดกฎหมายมากกว่า 170,000 คน
เมื่อวันที่ 26 มี.ค. คณะกรรมการความจริงและการปรองดองได้เปิดเผยรายงานสำคัญที่ชวนตะลึงว่า ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ขาดการกำกับดูแล ทำให้เกิดการ “ส่งออกเด็ก” จำนวนมากกว่า 170,000 ไปต่างประเทศเพื่อเป็นบุตรบุญธรรมของชาวต่างชาติแบบผิดกฎหมาย
ตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา เกาหลีใต้ได้ส่งเด็กไปต่างประเทศเพื่อเป็นบุตรบุญธรรมมากกว่าประเทศอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่ส่งไปยังประเทศตะวันตก
นั่นทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้อาจเข้าข่ายรู้เห็นหรือมีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เด็กเกาหลีใต้กำลังวิ่งเล่น (แฟ้มภาพ)
พัค ซุน-ยอง ประธานคณะกรรมการฯ กล่าวในการแถลงข่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่น่าละอายในประวัติศาสตร์ของเรา”
เธอเสริมว่า “แม้ว่าบุตรบุญธรรมจำนวนมากจะโชคดีที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น แต่บางคนกลับต้องทนทุกข์ทรมานและประสบกับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างมากเนื่องจากกระบวนการรับบุตรบุญธรรมที่มีข้อบกพร่อง แม้กระทั่งในปัจจุบัน หลายคนยังคงเผชิญกับความท้าทาย”
รายงานระบุว่า มีบุตรบุญธรรม 367 คน ซึ่งถูกส่งไปต่างประเทศระหว่างปี 1964 ถึง 1999 ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการฯ โดยกล่าวหาว่า มีการปฏิบัติฉ้อฉลในกระบวนการรับบุตรบุญธรรม
จนถึงขณะนี้ มีการวิเคราะห์คำร้องประมาณ 100 ฉบับ โดยในจำนวนนี้ บุตรบุญธรรม 56 คนได้รับการยอมรับว่าเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการฯ ยังคงสอบสวนคดีอื่น ๆ อยู่ โดยการสอบสวนมีกำหนดสิ้นสุดในเดือน พ.ค.
ภายหลังสงครามเกาหลี เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และมีครอบครัวเพียงไม่กี่ครอบครัวที่ต้องการรับบุตรบุญธรรม
รัฐบาลเกาหลีใต้จึงได้เริ่มดำเนินโครงการรับบุตรบุญธรรมข้ามชาติ ซึ่งดำเนินการโดยหน่วยงานเอกชน ที่ได้รับอำนาจอย่างมากผ่านกฎหมายการรับบุตรบุญธรรมพิเศษ
แต่ความล้มเหลวในระบบในการกำกับดูแลและจัดการได้นำไปสู่ข้อบกพร่องมากมาย รายงานระบุว่า หน่วยงานต่างประเทศเรียกร้องให้มีเด็กจำนวนหนึ่งในแต่ละเดือน และหน่วยงานของเกาหลีก็ปฏิบัติตาม โดย “อำนวยความสะดวกในการรับบุตรบุญธรรมระหว่างประเทศจำนวนมากโดยมีการดูแลตามขั้นตอนน้อยที่สุด”
เนื่องจากไม่มีการควบคุมค่าธรรมเนียมของรัฐบาล หน่วยงานเอกชนจึงเรียกเก็บเงินเป็นจำนวนมากและเรียกร้อง “เงินบริจาค” ซึ่งทำให้การรับบุตรบุญธรรมกลายเป็น “อุตสาหกรรมที่แสวงหากำไร”
ข้อบกพร่องอื่น ๆ ได้แก่ การรับบุตรบุญธรรมโดยไม่ได้รับความยินยอมจากแม่ผู้ให้กำเนิดอย่างเหมาะสม และการคัดกรองพ่อแม่บุญธรรมที่ไม่เพียงพอ
หน่วยงานเหล่านี้ยังสร้างรายงานเท็จที่ทำให้ดูเหมือนว่าเด็ก ๆ ถูกทอดทิ้งและถูกนำมาให้รับเลี้ยง และจงใจระบุตัวตนที่ไม่ถูกต้องแก่เด็ก ๆ
เนื่องจากบุตรบุญธรรมจำนวนมากได้รับตัวตนปลอมในเอกสาร จึงทำให้พวกเขาต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวที่ให้กำเนิดตนเอง และได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายไม่เพียงพอ
คณะกรรมการฯ ได้แนะนำให้รัฐบาลขอโทษอย่างเป็นทางการ และปฏิบัติตามมาตรฐานสากลเกี่ยวกับการรับบุตรบุญธรรมข้ามชาติ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้ได้ดำเนินการเพื่อให้กระบวนการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมมีความเข้มงวดยิ่งขึ้น ในปี 2023 เกาหลีใต้ได้ผ่านกฎหมายที่รับรองว่า การรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมจากต่างประเทศทั้งหมดจะดำเนินการโดยกระทรวงของรัฐบาลแทนที่จะเป็นหน่วยงานเอกชน
ด้าน อิงเกอร์-โทน อูเอลันด์ ชิน วัย 60 ปี หนึ่งในบุตรบุญธรรมผู้ยื่นคำร้อง เล่าว่า เธอได้รับการรับเลี้ยงโดยคู่สามีภรรยาชาวนอร์เวย์เมื่อเธออายุ 13 ปี และต่อมาได้ค้นพบว่าการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมของเธอเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
คู่สามีภรรยาซึ่งขณะนั้นอายุ 50 ปี ได้ยื่นคำร้องขอรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมในตอนแรก แต่ถูกปฏิเสธโดยทางการนอร์เวย์เนื่องจากอายุมากเกินไป จากนั้น พวกเขาเดินทางไปเกาหลีใต้และเยี่ยมชมสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งพวกเขาเลือกอิงเกอร์-โทนและพาเธอไปที่นอร์เวย์ด้วย
คู่สามีภรรยายื่นคำร้องขอรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมต่อทางการนอร์เวย์หลายปีต่อมา ซึ่งทางการอนุมัติให้ดำเนินการดังกล่าว แม้จะยอมรับว่าสถานการณ์ของอิงเกอร์-โทนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
อิงเกอร์-โทนบอกว่า เธอมีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับชีวิตในนอร์เวย์อย่างมาก และยังกล่าวหาว่าพ่อบุญธรรมของเธอล่วงละเมิดทางเพศเธอด้วย “พวกเขาดูแลสุนัขดีกว่าที่ดูแลฉันเสียอีก มันเจ็บปวดมาก ฉันไม่สามารถพูดหรือแสดงออกได้ นอกจากร้องไห้ตอนกลางคืน”
ในปี 2022 เธอสามารถฟ้องร้องรัฐบาลท้องถิ่นในนอร์เวย์ได้สำเร็จและได้รับค่าเสียหาย ขณะที่พ่อแม่บุญธรรมของเธอเสียชีวิตไปแล้ว
“พวกเขาไม่เคยติดคุกเลยสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำกับฉัน พวกเขารับเด็กไปเลี้ยงนอกประเทศอย่างผิดกฎหมาย ไม่มีใครรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกเขาทำกับฉัน” เธอกล่าว
แม้ว่าเธอจะพอใจกับผลการสอบสวนของคณะกรรมการ แต่เธอกล่าวว่า “ฉันอาศัยอยู่ผิดประเทศ และมีชีวิตที่เจ็บปวดและน่าสมเพช ฉันหวังว่าจะไม่มีใครต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก และฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะไม่รับเด็กจากเกาหลีมาอุปการะอีก”
เรียบเรียงจาก BBC
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : https://www.pptvhd36.com/news/245599
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา