28 มี.ค. เวลา 10:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“หุ้นจีน” ไม่หวั่น “Trade War” มั่นใจนโยบายรัฐ

Top5 “กองหุ้นจีน” เน้นหุ้น “H-Share” โชว์ผลตอบแทน “สุดปัง” เฉลี่ย +18.28% “นักลงทุนสถาบัน” มองบวก คาด “กำไรโตดี-ราคายังไม่แพง” !!!
สาระ Fund วันละนิด: “หุ้นจีน” ปีนี้กำลังจะกลาบร่างเป็น “มังกรทะยานฟ้า” เต็มตัว เมิน “Trade War” ที่สหรัฐเปิดเกมใส่ไม่หยุดหย่อน
และครั้งนี้เหมือนจะไม่ได้มาเล่นๆ ด้วย หลัง “รัฐบาลจีน” ส่งสัญญาณชัดเจนในการประชุม 2 สภา ตั้งเป้า GDP ปีนี้โต 5% และเพิ่มการขาดดุลงบประมาณเป็น 4% จาก 3% สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษเลยทีเดียว
โดยจะเน้นกระตุ้นการบริโภคให้เป็นหัวใจหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี25 พร้อมทุ่มเงินลงทุน 1 ล้านล้านหยวน เพื่อสนับสนุน Startup โดยจะโฟกัสด้าน AI/Technology เป็นสำคัญ
สร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดหนุน “หุ้นจีน” ปีนี้พุ่งทะยานแรงโดยเฉพาะ 2 ตลาด “H-Share” ปีนี้ +22.05% และ “HSI” +19.67% ตามลำดับ ในขณะที่ “A-Share” ปีนี้ +2.59% ในขณะที่ราคาก็ยัง “ไม่แพง” ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ผ่านมา (ที่มา: Google Finance, วันที่ 26 มี.ค. 25)
หนุนให้กลุ่ม “กองหุ้นจีน” ปีนี้ผลตอบแทนฟื้นเช่นกัน โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ย +7.93% (กองทุน 85% ผลงานเป็นบวก) (ที่มา: morningstarthailand.com)
สำหรับ “กองหุ้นจีน” ที่มีผลงาน “ดีสุด-แย่สุด” ปีนี้ มีกองอะไรบ้างนั้น ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ สรุปเอาไว้ให้แล้ว ตามไปดูพร้อมๆ กันได้เลย
“กองหุ้นจีน” ฟื้นต่อเนื่อง ปีนี้โชว์ผลตอบแทนเฉลี่ย
+7.93%...“MEGA10CHINARMF” แชมป์ผลตอบแทนสูงสุด +21.12% ส่วน “SCBCHAP” ดิ่งหนักสุด -4.34%
ภาพของ “ตลาดหุ้นจีน” ที่ฟื้นตัว ส่งผลให้ “กองหุ้นจีน” ทั้ง 126 กอง มีผลงานที่ดีขึ้นด้วยเช่นกันโดยปีนี้ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย +7.93% โดยมี 107 กอง คิดเป็น 85% ที่มีผลงานเป็น “บวก” มีเพียงส่วนน้อย 15% เท่านั้น ที่ยัง “ติดลบ” โดยกองที่มีผลงาน “ดีสุด” ทำผลตอบแทนได้ +21.12% ส่วนกองที่มีผลงาน “แย่สุด” ผลตอบแทนยังติดลบอยู่ -4.34% หรือต่างกันอยู่ 25.46%
สำหรับ 5 “กองหุ้นจีน” ที่มีผลงาน “ดีสุด” ปีนี้ (ไม่นับรวมชนิดหน่วยลงทุนของกองทุนหลักเดียวกัน) เป็นหุ้น “H-Share” และ “หุ้นเทคฯ” เป็นสำคัญ ทำผลตอบแทนเฉลี่ย +18.28% ได้แก่
-“MEGA10CHINARMF” ของบลจ.ทาลิส 21.12%
-“SCBCEHE” ของบลจ.ไทยพาณิชย์ 18.23%
-“TISCOCH” ของบลจ.ทิสโก้ 18.18%
-“KF-CHINA” ของบลจ.กรุงศรี 17.59%
-“KT-CHINA RMF” ของบลจ.กรุงไทย 16.26%
ส่วน 5 “กองหุ้นจีน” ที่มีผลงาน “แย่สุด” ปีนี้ ส่วนใหญ่เน้นลงหุ้น “A-Share” เป็นสำคัญ ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ -2.85% ประกอบด้วย
-“SCBCHAP” ของบลจ.ไทยพาณิชย์ -4.34%
-“DAOL-TAIWANEQ” ของบลจ.ดาโอ -3.33%
-“TISCOCHA-A” ของบลจ.ทิสโก้ -2.89%
-“KFCSI300-A” ของบลจ.กรุงศรี -2.06%
-“K-CHX” ของบลจ.กสิกรไทย -1.62%
“H-Share” ฟื้นแรง ปีนี้ +22.05% ส่วน “A-Share” +2.59%...ด้าน “นักลงทุนสถาบัน” ปรับมุมมองเชิงบวกต่อเนื่อง
แม้ว่าการปรับตัวขึ้นของ “หุ้นจีน” ในครั้งนี้ จะยั่งยืนหรือไม่นั้น ยังเป็นคำถามที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาม แต่นักลงทุนสถาบันทั่วโลกปรับเปลี่ยนมุมมอง “หุ้นจีน” สู่เชิงบวกกันมากขึ้น และมองว่าเศรษฐกิจจีนได้ผ่าน “จุดต่ำสุด” ไปแล้วและนั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นก็อาจจะผ่าน “จุดต่ำสุด” ไปแล้วเช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ทาง “Goldman Sachs” ปรับเป้าหมายดัชนี “MSCI China” ใน 12 เดือนข้างหน้า ขึ้นอีก 16% จากเดิม 75 จุด เป็น 85 จุด และปรับเป้าหมายดัชนี “CSI 300” ขึ้นเป็น 4,700 จุด จาก 4,600 จุด โดยทั้ง 2 ดัชนีได้รับแรงหนุนจาก DeepSeek AI ซึ่งช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของจีน ซึ่งประเมินว่าการใช้ AI อย่างแพร่หลายอาจช่วยหนุนกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจีนให้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.5% ต่อปีในทศวรรษหน้าอีกด้วย
ล่าสุดทาง “Morgan Stanley” เองก็ปรับมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนเป็นครั้งที่2 ในรอบเดือน หลังประเมินแนวโน้มกำไรดีกว่าประมาณการเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ไตรมาส และมูลค่าเริ่มเข้าสู่จุดกลับตัว และมองว่าหุ้นจีนควรจะประเมินมูลค่าให้ใกล้เคียงกับดัชนี MSCI Emerging Market ซึ่งจะช่วยลดส่วนต่างของระดับราคาที่มีมาอย่างยาวนานลงด้วย
เช่นเดียวกันกับ “บลจ.ยูโอบี” ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อ “หุ้นจีน” เช่นเดียวกัน โดยนักลงทุนในตลาดมองบวกกับ “ตลาดหุ้นจีน” มากขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงด้านภาษีการค้าทาให้หุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่ม Large-Caps Growth ปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังเชิงบวก (Multiple Expansion) และการที่นักลงทุนลดระดับการUnderweight จีนสนับสนุนโมเมนตัมหุ้นจีนให้ฟื้นตัวต่อเนื่องได้
สำหรับนักลงทุนระยะยาวและยังไม่มี “หุ้นจีน” ในพอร์ต ก็ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจ และสามารถทยอยสะสมเพื่อลงทุนมาไว้ในพอร์ตได้ มูลค่าก็ยัง “ไม่แพง” ซึ่งสามารถลงทุนได้ทั้ง “A-Share” และ “H-Share” มีติดพอร์ตไว้บ้างแล้วแต่ความชอบและความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองเป็นสำคัญ แต่คงต้องมองภาพในระยะยาวเป็นหลักเช่นเคย
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
โฆษณา