28 มี.ค. เวลา 09:38 • การศึกษา

การให้ "ธรรมทาน" : การสร้างผู้รู้แจ้ง ให้เกิดขึ้นแก่โลก

.
ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อเรียนรู้การ "ให้" บางคนให้ด้วยทรัพย์ บางคนให้ด้วยแรงใจ
.
"พระพุทธศาสนา" สอนว่า มี "การให้" ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งของ
.
การให้ที่เปลี่ยนชีวิต ทั้งผู้ให้ และ ผู้รับ
.
การให้ที่ไม่มีวันหมดค่า แม้กาลเวลาผ่านไปพันปี
.
วันนี้ครับ กระผมจะพาทุกท่าน ร่วมเดินทางไปหาคำตอบด้วยกัน ครับว่า
.
อะไร ? คือ "การให้อันสูงสุด" ที่ "พระพุทธเจ้า" ได้ทรงตรัสเอาไว้ ครับ
.
" สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ "
แปลว่า การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
.
หมายความว่ายังไง ครับ
.
"ธรรมทาน" ถูกยกย่องว่าเป็น "มหาทาน"
.
เพราะส่งผลต่อ "การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง"
.
ตัวอย่างเช่น
- การสอน ให้เข้าใจกฎแห่งกรรม
- การสอน ให้ฝึกสมาธิ เจริญสติ ภาวนา
- การส่งเสริม ให้ศึกษาพระไตรปิฎก ล้วนจัดเป็นธรรมทาน ครับ
.
"ธรรมทาน" ถือเป็นการให้ที่สูงสุด เพราะเป็น "ของขวัญแห่งความเป็นอมตะ"
.
ที่ช่วยให้ "ผู้รับ" พึ่งพาตนเองได้อย่างถูกทาง
.
ตามหลักธรรม มรรคมีองค์ 8 อันนำไปสู่ ประตูแห่ง "พระนิพพาน" โดยสมบูรณ์ ครับ
.
ก่อนที่กระผม จะอธิบายเรื่อง "ธรรมทาน" อย่างลึกซึ้ง
.
เรามาดู ประเภทของ "ทาน" และ "มหาทาน" ต่าง ๆ ตามหลักพุทธศาสนากันก่อน นะครับ
.
ในหลักพุทธศาสนาเถรวาท "มหาทาน" แปลว่า "การให้อันยิ่งใหญ่"
.
ซึ่งหมายถึง การให้ทานที่มีอานิสงส์มาก เป็นการสร้างบุญกุศลระดับสูง
.
โดยแบ่งได้ 2 แนวคิดหลัก ดังนี้ ครับ
.
1. มหาทาน 7 ประการ ตามหลัก "พระไตรปิฎก"
.
มหาทาน 7 ประการ เป็นการให้ทานระดับสูง ที่สร้างบุญกุศลมาก ครับ
.
เพราะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต และ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
.
ผลบุญของแต่ละทาน ถูกอธิบายไว้ใน พระไตรปิฎก และ อรรถกถา ดังนี้ ครับ
.
1. อารามทาน (การถวายวัด หรือ สถานที่ปฏิบัติธรรม)
.
การสร้างสถานที่ให้ พระสงฆ์ และ ชุมชน ได้ศึกษา และปฏิบัติธรรม นั้น
.
ส่งผลให้ "ผู้ให้" เกิดในภพภูมิที่มีศาสนธรรมเจริญ ครับ
.
เป็นเหตุให้มี ที่พึ่งทางใจในทุกชาติ เกิดในตระกูลสูงส่ง และ เป็นผู้มีอำนาจบารมี
.
ตามอรรถกถา กล่าวว่า ผู้สร้างวัดจะได้เสวยสุข เหมือนท้าวมหาราชในสวรรค์
.
2. วิหารทาน (การสร้างกุฏิ ศาลา ที่อยู่อาศัย)
.
เป็นเหตุให้มีที่อยู่อาศัยสมบูรณ์ ในทุกภพชาติ บ้านเรือนมั่นคง ปลอดภัยจากภัยพิบัติ
.
เกิดเป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง เพราะการให้ที่อยู่อาศัย เชื่อมโยงกับร่างกาย อันเป็นที่อยู่ของ "จิตวิญญาณ" ครับ
.
ตามพระสูตร กล่าวว่า ผู้สร้างวิหาร จะได้เป็น ผู้มีรัศมีกาย สว่างไสวดุจดวงจันทร์
.
3. เสนาสนะทาน (การถวายเครื่องใช้ ในที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์)
.
ทำให้มีเครื่องนุ่งห่ม และ เครื่องใช้ที่สมบูรณ์ในทุกชาติ
.
เป็นผู้มีเสน่ห์ น่าเคารพ นับถือ เนื่องจากเสนาสนะ (ที่นอนที่นั่ง) สัมพันธ์กับความสงบสุข ทางกาย และ จิตใจ ครับ
.
ตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค ระบุว่า ผลแห่งเสนาสนะทาน ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทางกาย
.
4. บิณฑบาตทาน (การถวายอาหารประจำวัน)
.
ทำให้มีอาหารอุดมสมบูรณ์ในทุกชีวิต ไม่เคยอดอยาก
.
ร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัย เพราะอาหารเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงชีวิต ครับ
.
พระอภิธรรมปิฎก ระบุว่า ผู้ให้อาหารย่อมมีอายุยืน เป็นที่รักของ เทวดา และ มนุษย์
.
5. เภสัชทาน (การให้ยารักษาโรค)
.
เป็นผู้มีสุขภาพดี โรคภัยไม่เบียดเบียน แม้เกิดในภูมิใดก็มีร่างกายสมบูรณ์
.
ตามชาดก กล่าวว่า การให้ยา ย่อมส่งผลให้เป็นแพทย์ผู้ปราบโรคได้ในชาติหน้า
.
ได้รับพรจากผู้รับ (พระสงฆ์ หรือ ผู้ป่วย) ให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
.
6. จีวรทาน (การถวายผ้านุ่งห่ม)
.
เกิดเป็นผู้มีเครื่องแต่งกาย งดงามในทุกชาติ
.
เป็นผู้มีผิวพรรณผุดผ่อง เพราะจีวรสัมพันธ์ กับการปกปิดร่างกายให้สง่างาม ครับ
.
พระพุทธเจ้ายกย่องว่า การให้จีวร มีอานิสงส์เท่ากับการให้ความอบอุ่นทั้งทางกาย และ จิตใจ
.
7. ธัญญาหารทาน (การถวายข้าวปลาอาหาร)
.
ทำให้มีโภคทรัพย์มาก ไร้ความขาดแคลน
.
เป็นเหตุให้เกิดในตระกูลผู้มีเกียรติ เนื่องจากข้าวเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ครับ
.
พระไตรปิฎกเปรียบว่า ธัญญาหารทาน เหมือนการปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความมั่งคั่งในภพหน้า
.
มหาทาน 7 ประการนี้ ครับ
.
จัดเป็น "อามิสทาน" ระดับสูง เพราะเป็นสิ่งจำเป็น
.
ต่อการดำรงชีวิต และ การเผยแผ่ธรรมะของคณะสงฆ์
.
ต่อมา ครับ มาดู
มหาทาน 3 ประการ ตามแนวอรรถกถา กันครับ
.
บางพระคัมภีร์จัด "มหาทาน" เป็น 3 ประเภท ตามคุณค่าที่ส่งผลต่อผู้รับ ดังนี้ ครับ
.
1. อามิสทาน : การให้วัตถุสิ่งของ
.
เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค
.
ตัวอย่างเช่น : ทานของพระเวสสันดรในชาดก (ให้ช้าง ม้า ลูก-เมีย)
.
การให้วัตถุสิ่งของ ยังคือว่า แก้ปัญหาได้ชั่วคราว ครับ
.
2. อภัยทาน : การให้อภัย ไม่ผูกโกรธ
.
เป็นการรักษาจิตใจ ละเว้นจากการทำร้าย
.
ตัวอย่างเช่น : พระพุทธเจ้าทรงให้อภัยพระเทวทัต
.
การให้อภัยทาน ยังถือว่า ยังติดอยู่ในสังสารวัฏ ครับ
.
3. ธรรมทาน : การให้ธรรมะเป็นทาน
.
สอนหลักธรรม นำทางสู่การหลุดพ้น
.
ตัวอย่างเช่น : การแสดงพระธรรมเทศนา ถือว่าเป็นทานสูงสุด เพราะนำไปสู่การหลุดพ้น
.
ใน 3 ประการนี้ "ธรรมทาน" ถือเป็นมหาทานสูงสุด เพราะช่วยให้ผู้รับ พ้นจากความทุกข์ได้ถาวร ครับ
.
ดังพุทธพจน์ที่ว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ" (การให้ธรรม ชนะการให้ทั้งปวง)
.
"มหาทาน" มิได้วัดกันที่ปริมาณสิ่งของ แต่วัดกันที่ "เจตนา" และ "ผลต่อการหลุดพ้น" ครับ
.
แม้ "อามิสทาน" จะจำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่ "ธรรมทาน" คือ มหาทานสูงสุด
.
เพราะเป็น "การให้แสงสว่างแห่งปัญญา" ที่ช่วยให้มนุษย์ ช่วยตนเองได้ ตามหลักอริยสัจ 4
.
ที่นี้ครับ เมื่อทุกท่านทราบหลัก "ทาน" และ "มหาทาน" กันไปเรียบร้อยแล้ว
.
กระผมอยากจะถามทุกท่านว่า คุณทราบหรือยังครับว่า
.
การให้ที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา จะต้องให้อย่างไร ?
.
ถึงจะได้บุญกุศลแบบเต็มเม็ด เต็มหน่วย ครับ
.
หากคุณยังไม่ทราบ มารับฟังกันต่อได้เลยครับ
.
การให้ที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา ตามแนวเถรวาท
.
การให้ทาน ในพุทธศาสนา ไม่ใช่เพียงการบริจาคสิ่งของ
.
แต่เป็นกระบวนการฝึก "จิต" เพื่อลดความตระหนี่ และ สะสมบุญกุศล
.
โดยมีหลักสำคัญ 4 ประการ ดังนี้ครับ
.
1. เจตนาเป็นหัวใจ
ก่อนให้ : ตั้งใจให้ด้วยจิตเมตตา ไม่หวังผลตอบแทน
.
เจตนาแยกออกเป็น 3 ระยะ ครับ
.
- มุทิตาเจตนา : ดีใจก่อนให้
- โสมนัสเจตนา : ปลาบปลื้มขณะให้
- อุทิศเจตนา : ตั้งใจอุทิศบุญหลังให้
.
ระหว่างให้ : ให้ด้วยความเคารพ ไม่ดูถูกผู้รับ
หลังให้ : ไม่เสียดาย หรือ คิดคำนวณผลประโยชน์
.
2. ให้สิ่งที่ถูกต้อง
สิ่งที่ให้ต้องเป็นของบริสุทธิ์ ครับ
ได้มาด้วยวิธีสุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
.
สะอาด ใช้ประโยชน์ได้จริง (เช่น อาหารไม่บูดเสีย)
.
แบ่งปันตามความจำเป็นของผู้รับ
.
3. วิธีการให้ที่ถูกต้อง
ให้ด้วยมือตนเอง : แสดงความจริงใจ
.
ให้ด้วยความนอบน้อม : ไม่โยนสิ่งของ หรือ พูดจาดูถูก
.
ให้ตามกาลเวลา : เช่น ถวายอาหารพระก่อนเพล
.
ไม่โอ้อวด : ไม่ถ่ายภาพโชว์การให้เพื่อชื่อเสียง
.
และ ข้อ 4 ครับ ข้อสุดท้าย
ข้อนี้ถือเป็นข้อที่สำคัญมากครับ "การให้ต่อผู้รับที่เหมาะสม"
.
โดยแบ่งบุคคลออกเป็น 8 ประเภท ที่ให้ทานแล้ว มีผลบุญมาก (ตามทีฆนิกาย)
.
1. ให้แด่ "ผู้ไม่มีศีล" ผู้ทำบาป ไม่รักษาศีล
.
ได้บุญน้อยที่สุด แต่ยังช่วยให้พ้นจากความอดอยาก
.
เป็นการฝึกจิตใจผู้ให้ ให้ไม่เลือกปฏิบัติ
.
ตามหลัก "เวยยาวัจจมัย" (การช่วยเหลือทั่วไป)
.
2. ให้แด่ "ผู้มีศีล" (แม้ไม่ปฏิบัติธรรม) คนทั่วไปที่รักษาศีล 5
.
ก็จะเกิดเป็นมนุษย์ หรือ สวรรค์ชั้นต่ำ มีชีวิตมั่นคง ไม่ยากจน เป็นผู้มีเสน่ห์ น่าเคารพ
.
3. ให้แด่ ผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป ผู้รักษาศีล 5 ศีล 8
.
ได้รับทรัพย์สมบัติ ตามความเหมาะสม กับศีลของผู้รับ
.
มีสุขภาพแข็งแรง เพราะ "ศีล" เป็นพื้นฐานของชีวิตที่ดี
.
ครอบครัวร่มเย็น ไร้ศัตรูเบียดเบียน
.
4. ให้แด่ ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุพระอรหันต์ พระสงฆ์ หรือ ผู้บวชที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเต็มกำลัง
.
สร้างกุศลแรงกล้า เทียบเท่าการสนับสนุนการเผยแผ่ธรรม
.
เกิดเป็นผู้มีบุญบารมีสูงในชาติหน้า
.
เป็นเหตุให้มีปัญญาลึกซึ้งเข้าใจอริยสัจ 4
.
5. พระโสดาบัน (ผู้ไม่ตกนรก) ผู้มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย
.
ปลอดภัยจากอบายภูมิ (นรก เปรต อสุรกาย)
.
เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชุมชน
.
มีบุญเกื้อหนุนให้พบมรรคผลเร็วขึ้น
.
6. พระสกทาคามี (ผู้กลับมาเกิดอีกครั้งเดียว) ผู้ลดกิเลสได้ครึ่งหนึ่ง
.
เกิดในตระกูลสูงส่ง มีทรัพย์สมบัติมาก
.
มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาในทุกชาติ
.
ครอบครัวสงบสุข ไม่แตกแยก
.
7. พระอนาคามี (ผู้ไม่กลับมาเกิดในกามภูมิ) ผู้ละกามราคะได้แล้ว
.
ทำให้เกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส
.
มีจิตใจสงบ ห่างไกลจากความฟุ้งซ่าน
.
เป็นเหตุให้พบ "ครู" ที่ดีในภพหน้า
.
8. พระอรหันต์ (ผู้หลุดพ้นแล้ว) ผู้หมดกิเลส หลุดพ้นจากสังสารวัฏ
.
เป็นการปลูกฝัง "บุญอันบริสุทธิ์" เพราะผู้รับเป็นเนื้อนาบุญสูงสุด
.
เกิดในสุคติภูมิเสมอ ไม่อาจตกนรก
.
ส่งผลให้มีปัญญาแจ่มใส ใกล้ต่อการบรรลุธรรม
.
ดังพุทธพจน์ที่ว่า
.
"ผู้ให้ทานแก่พระอรหันต์ ย่อมได้รับผลบุญเท่าจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา" (อังคุตตรนิกาย)
.
หากทุกท่าน ถามต่อกระผมอีกว่า แล้วทำไม ? เหตุผลที่ให้ทานแก่ "ผู้มีศีล" ถึงได้บุญมาก
.
คำตอบก็คือ
.
- เนื้อนาบุญดี : ผู้รับมีศีลเป็นพื้นฐาน ทำให้ทานที่ให้เกิดดอกผลเต็มที่
.
- แรงส่งแห่งกุศล : ผู้มีศีลมักใช้สิ่งของที่ได้รับไปทำความดีต่อ
.
- จิตของผู้ให้บริสุทธิ์ขึ้น : การให้แก่ผู้ดีช่วยลดการดูถูกผู้รับ
.
สรุป ครับ
.
หากคุณเลือกให้ทานแก่ผู้ปฏิบัติดี แม้คุณให้ สิ่งของเล็กน้อย แต่คุณก็จะได้บุญมาก ครับ
.
แม้ผู้รับไม่มีศีล ก็ควรให้ด้วยเมตตา เพื่อฝึกใจตนเอง
.
"มหาทาน" ในมุมมองเชิงปฏิบัติ คือ
.
การให้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ : ไม่หวังผลตอบแทน
.
การให้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม : เช่น สร้างโรงเรียน บริจาคทรัพย์ช่วยภัยพิบัติ
.
การสละกิเลส : เช่น สละความตระหนี่ ความยึดมั่นถือมั่น
.
การให้สิ่งของจำเป็น เปรียบเหมือนยาช่วยชีวิต แต่อีกไม่นาน ความหิวก็กลับมา
.
ความยากจนก็ยังวนเวียน นี่คือ "การให้ที่แก้ปลายเหตุ"
.
แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ครับ แต่ยังไม่ใช่ทางรอดที่แท้จริง
.
บางครั้ง ของขวัญล้ำค่าที่สุด คือการ "ปล่อยวาง" ความเจ็บปวด
.
การให้อภัย คือ ยารักษาหัวใจ แต่แม้ใจจะสงบ ชีวิตยังวนเวียนใน "สังสารวัฏ"
.
ยังขาด "แสงสว่าง" ที่จะพานำทางออกจากความทุกข์
.
เมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน "พระพุทธเจ้า" ทรงค้นพบ "ของขวัญ" ที่ไม่ใช่เงินทอง แต่คือ "ปัญญา"
.
การให้ธรรมะ คือการมอบ "ตะเกียง" ให้ผู้รับจุดไฟส่องทางเดินด้วยตนเอง นี่คือ "การให้ที่ไม่รู้จบ"
.
เพราะเมื่อใครเข้าใจธรรมะ เขาจะช่วยตัวเองได้
.
และ ส่งต่อ "แสงสว่าง" นั้น ไปสู่ลูกหลาน ญาติมิตร เพื่อนสนิท ไม่มีที่สิ้นสุด
.
"ธรรมทาน" ให้ได้ทุกวัน ให้ได้ทุกวัย ให้ได้แม้ไม่มีเงิน ทอง ครับ
.
ชีวิตของพวกเราทุกคน ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว
.
เหมือนต้นไม้ใหญ่ ที่พร้อมจะทอดกิ่งให้ร่มเงา
.
"ธรรมทาน" ไม่ต้องรอ ให้รู้ทุกเรื่องใน "พระไตรปิฎก" นะครับ
.
แค่แบ่งปัน "บทเรียนชีวิต" ที่สั่งสมมา
.
- สอนลูกหลานให้รู้จัก "ให้อภัย"
- บอกเพื่อนบ้านว่า "ทุกปัญหามีทางออก"
- ชี้ให้เยาวชนเห็นโทษของ "การตกนรกทั้งเป็น" เรื่องยาเสพติด
.
นั่นก็คือ การให้ธรรมะแล้วครับ
.
"ของขวัญ" ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเราทุกคน
.
ไม่ใช่ "ทอง" ที่อยู่ในตู้เซฟ แต่คือการปลูก "ธรรมะในหัวใจ"
.
ที่จะส่องทางให้คนรุ่นหลังต่อไป
.
เมื่อเราจากโลกนี้ไป และ เดินทางไปสู่โลกหน้า ครับ
.
"ธรรมทาน" คือสุดยอดการให้ เพราะไม่ใช่แค่ให้ปลา
.
แต่สอนวิธีทำเบ็ด เพื่อ จุดตะเกียงให้เขาเห็นทางเดินด้วยตนเอง
.
การให้ที่แท้จริง คือการให้ด้วยใจบริสุทธิ์ ให้สิ่งจำเป็น
.
ให้แก่ผู้รับที่พร้อม และให้ เพื่อลดอัตตาตัวตน
นี่คือ ทางลัดสู่ความสุข ทั้งโลกนี้ และ โลกหน้า ครับ
.
ต้นไม้ที่ปลูกในดินดี กับ ปลูกในดินที่แห้งแล้ง ย่อมแตกต่างกัน
.
ผู้ให้ทานก็เปรียบเหมือนแม่น้ำไหลลงสู่มหาสมุทร
.
ทานที่ให้ดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้ถึง "พระนิพพาน"
.
สวัสดีครับ
.
#ธรรมะ , #ศาสนาพุทธ , #พุทธศาสนา , #ทาน , #มหาทาน , #ธรรมทาน
โฆษณา