29 มี.ค. เวลา 05:23 • ครอบครัว & เด็ก

กลัวทำไม..เราตายแล้ว?

1 ซามูเอล 21:1-15 TH1971
[1] แล้วดาวิดก็มาหาอาหิเมเลคปุโรหิตเมือง โนบ และอาหิเมเลคออกมาหาดาวิดตัวสั่นอยู่พูดกับท่านว่า <<ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่มีผู้ใดมากับท่าน>> [2] ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า <<พระราชาทรงบัญชาข้าพเจ้าให้ทำเรื่องหนึ่ง รับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า <อย่าบอกเรื่องซึ่งเราใช้เจ้าไปกระทำนั้นแก่ผู้ใดให้รู้เลย และด้วยเรื่องซึ่งเรามอบหมายแก่เจ้านั้น> ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกคนหนุ่ม ณ ที่แห่งหนึ่ง
[3] ท่านมีอะไรติดมืออยู่บ้างเล่า ขอขนมปังข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรๆที่มีที่นี่ก็ได้>> [4] ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดว่า <<ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรมดาเลย แต่มีขนมปังบริสุทธิ์ ขอแต่คนหนุ่มได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาแล้วก็แล้วกัน>> [5] และดาวิดก็ตอบท่านปุโรหิตว่า <<ที่จริงเมื่อเราทั้งหลายออกไปปฏิบัติงาน ผู้หญิงก็ถูกกันให้ห่างจากเราอย่างทุกครั้ง การเดินทางธรรมดากายของคนหนุ่มก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว ยิ่งวันนี้กายของเราก็ยิ่งบริสุทธิ์กว่า>>
[6] ดังนั้นปุโรหิตจึงมอบขนมปังให้แก่ดาวิดเพราะที่นั่นไม่มี ขนมปังอื่นนอกจากขนมปังที่ตั้ง ถวายซึ่งเก็บมาจากหน้าพระพักตร์พระเจ้า เพื่อวางขนมปังใหม่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป [7] ในวันนั้นมีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นเป็นผู้รับใช้ของซาอูล มีธุระต้องเฝ้าพระเจ้าอยู่ เขาชื่อโดเอก คนเอโดม เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงสัตว์ของซาอูล
[8] และดาวิดกล่าวแก่อาหิเมเลคว่า <<ท่านไม่มีหอกหรือดาบติดมืออยู่สักเล่มหนึ่งหรือ ด้วยข้าพเจ้ามิได้นำดาบหรือเครื่องอาวุธติดมาเลย เพราะราชการของพระราชาเป็นการด่วน>>
[9] ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า <<ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตีย ซึ่งท่านฆ่าเสียที่หุบเขาเอลาห์นั้น ดูเถิด ยังห่อผ้าอยู่ที่ข้างหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการดาบนั้นจงเอาไปเถิด นอกจากเล่มนั้นแล้วก็ไม่มีดาบอื่นอีก>> และดาวิดกล่าวว่า <<ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเถิด>> [10] และดาวิดก็ลุกขึ้นในวันนั้น หนีจากซาอูลไปหา อาคีชพระราชาเมืองกัท
[11] และมหาดเล็กของอาคีชทูลว่า <<ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนั้น เขามิได้เต้นรำและขับเพลงรับกันหรือว่า <ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ> >> [12] และดาวิดก็จำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจและกลัวอาคีช กษัตริย์เมืองกัท [13] ท่านจึงเปลี่ยนอากัปกริยาต่อหน้าเขาทั้งหลาย และกระทำตนเป็นคนบ้าเที่ยวกาไว้ที่ประตู และปล่อยให้น้ำลายไหลลงเปรอะเครา
[14] อาคีชจึงสั่งผู้รับใช้ของท่านว่า <<นี่แน่ะ เจ้าเห็นว่าคนนั้นบ้า แล้วเจ้าพาเขามาหาเราทำไม [15] ข้าขาดคนบ้าหรือ เจ้าจึงพาคนนี้มาทำบ้าให้ข้าดู คนอย่างนี้ควรเข้ามาในนิเวศของข้าหรือ>>
ได้ฟังพระคำพระเจ้าเรื่องนี้เมื่อเช้าแล้วได้หันกลับมามองตัวเอง ตลอดมาหลายปีในชีวิตคู่หลังแต่งงานบ่อยครั้งที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในความไม่เชื่อแบบดาวิด
คือถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตในคริสตจักรกับภรรยาลูกมันมีเรื่องให้ผมอึดอัดหรือสับสนวุ่นวายใจ เพราะมันยังไม่ชินกับการใช้ชีวิตแบบครอบครัว ตลอดมามันก็มีแต่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง จะทำอะไรก็ไม่ต้องมาคิดถึงคนอื่นมากมายอะไรแบบนี้ ถึงคิดก็คิดแค่ตื้นๆ แต่พระเจ้าก็พาชีวิตผมให้อยู่รอดผ่านมาได้ ตอนนี้ก็ย่างเข้าสิบเอ็ดปีแล้วกับชีวิตครอบครัว
แต่ผมก็เคยมีช่วงที่ผมคิดตัดสินใจแบบดาวิดตอนนี้ คือมันไม่เชื่อครับว่ากับสิ่งที่อาจารย์หรือคริสตจักรกำลังสอนหรือจูงนำพาทำนี้คือใช่แล้วทางแห่งความรอดของพระเจ้า มันมีความระแวงสงสัยจนไม่เชื่อแล้วก็ออกไปจากคริสตจักร ทิ้งภรรยาลูกด้วย ไปทำตามความคิดที่ผมเห็นชอบ เห็นว่าถูกต้องครับ เหมือนดาวิดที่หนีออกจากซาอูลไปอยู่กับฟิลิสเตียนี้ครับ
ผมก็ไปอาศัยอยู่กับพี่ๆ แล้วก็เผยแพร่ด้วย ก่อนจะออกมาผู้รับใช้หลายคนมาคุยมาเตือนอะไรผมก็ไม่เชื่อครับว่าผมกำลังคิดผิดอยู่ เหมือนปุโรหิตเอาขนมปังบริสุทธิ์มาให้กิน เอาดาบโกไลแอทมาให้ดู เพื่อให้ได้ระลึกถึงพระคุณพระเจ้าที่ปกป้องดูแลผ่านทางคริสตจักรตลอดมายังไง แต่ผมก็ไม่รู้ไม่รับเหมือนดาวิดตอนนี้เลยครับ ไม่ได้เชื่อว่าเผยแพร่ไม่ได้ถ้าแยกจากคริสตจักร แต่กำลังไปล่อลวงฆ่าทำลายผู้คน แบบดาวิดที่ทำให้ครอบครัวปุโรหิตอาบีเมเลขต้องตาย85คน
ผมก็ได้มองย้อนกลับไปหาคนที่ผมเคยเผยแพร่เหล่านั้น ไม่มีใครสักคนที่ติดตามโบสถ์เลยครับ มีแต่ติดตามผมครับ เชื่อพระเจ้าในแบบของผม ไม่ใช่พระเจ้าในแบบของคริสตจักร แค่ให้พวกเขารู้ว่าไม่มีบาปแล้ว ทำอะไรก็ไม่มีบาปเพราะพระเยซูเอาบาปไปแล้ว ทั้งๆ ที่ใจของพวกเขายังไม่ได้ต้องการพระเยซูเลย ยังไม่เคยเห็นความน่ากลัวของตัวเองแล้วเกลียดกลัวหรืออยากทิ้งตัวเองอะไรเลย คือไปทำให้คนเข้าใจผิดๆ กับเรื่องการได้รับการชำระบาปครับ กลับยิ่งไปส่งเสริมให้คนสนุกกับการทำความบาปมากขึ้นต่างหาก
พระคำตอนนี้ทำให้ผมเห็นว่ากับพระเจ้าที่ผมติดตามข้างนอกคริสตจักรนั่นน่ะ ก็คือตัวผมนี้แหล่ะคือพระเจ้า มารซาตานก็คอยให้ความคิดให้วิธีการต่างๆ เพื่อจะนำให้ผมติดตามไปเรื่อยๆ ตามแผนการของเขาครับ ออกไปครั้งล่าสุดต้นปีที่แล้าผมออกเดินทางเผยแพร่ประมาณเดือนนึง ไล่ไปตั้งแต่โคราช,อุทัยธานี,สุราษฯ,นครศรีธรรมราช และกำลังมีความคิดจะลงไปต่อที่ตรัง แต่พระเจ้ากั้นไว้ก่อน คนที่ผมติดต่อไว้เขาเกิดเปลี่ยนใจปฏิเสธ
สุภาษิต 27:12 TH1971
[12] คนหยั่งรู้ เห็นอันตรายและซ่อนตัวของเขาเสีย แต่คนเขลาเดินเรื่อยไป และรับอันตรายนั้น
ผมเห็นมารฯเขาก็ให้ได้นะครับกับปัจจัยสนับสนุน เพื่อจะให้ผมไปต่อได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องพึ่งคริสตจักร แต่พระเจ้าก็ให้จิตใจผมติดต่อกลับไปหาภรรยากับอาจารย์ที่คริสตจักรก่อนหลังฟังพระคำจากอาจารย์ เรื่องของเอซาวกับยาโคบ แล้วก็ได้ตัดสินใจกลับเข้าไป แต่ตอนเข้าไปคุยกับอาจารย์ผมก็ยังไม่ได้เห็นว่าผมผิดนะครับ ยังเชื่อว่าพระเจ้าพาผมไปเผยแพร่ ตอนนั้นผมไม่ได้เชื่อเลยกับพระเจ้าที่บอกว่าแยกจากคริสตจักรแล้วทำอะไรไม่ได้ เหมือนเด็กที่ออกไปเล่นๆเบื่อแล้วก็กลับบ้านประมาณนั้นกับจิตใจของผม
ยอห์น 15:5 TH1971
[5] เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
ความจริงอาจารย์ก็มีความหวังว่าทุกครั้งที่ให้ผมออกมาทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้ก็จะได้เห็นความผิดความชั่วร้ายของตัวเอง แต่เพราะผมไม่ได้คิดว่าตัวเองอาจจะผิดน่ะครับ ก็เลยไม่ได้มีใจที่จะแสวงหาความผิดปกติของตัวเอง ฟังพระคำจากอาจารย์ก็มองแต่ตัวดี พยายามจะเป็นคนนั้น พระคำบอกดาวิดมองพระเจ้าก็เลยกล้าออกไปสู้กับโกไลแอท ถ้างั้นเราก็ต้องกล้าที่จะออกไปเผยแพร่แม้มีเพียงคนเดียวก็ตาม ผมก็เลือกฟังพระคำประมาณนี้ครับ แต่ตัวเองชั่วร้ายแบบไหน ผมจะข้ามไปเลยครับ ไม่เอามาคิดใคร่ครวญต่อ หลายปีที่ผมเชื่อพระเจ้าแบบนี้ครับ
ผมคิดว่าทำไมผมถึงไม่มองตัวเองผ่านคนชั่วร้ายในพระคำนะ? อาจารย์เคยบอกว่าเพราะผมไม่เชื่อว่าตัวเองชั่วร้ายตายแล้วทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะความบาปตั้งแต่สมัยอาดัม ก็เลยสนใจแต่ว่าตัวเองจะต้องทำยังไง? แต่ความจริงต้องคิดแต่ว่าตัวเองชั่วร้ายยังไง จะได้เห็นแล้วเกลียดกลัวกับมัน ได้แต่ต้องฝากความหวังไว้กับพระเยซูเท่านั้น ไม่ใช่คิดแต่จะทำยังไงครับ
แต่ได้ฟังพระคำครั้งนี้จากอาจารย์ก็ได้จิตใจใหม่คือมีความสุขความหวังกับการได้เห็นได้รู้จักชัดเจนว่าตัวผมนั้นชั่วร้ายแบบไหน และที่ผ่านมาก็ได้เห็นด้วยว่าพระเจ้าคอยดึงผมกลับมาคริสตจักรเรื่อยๆ ผ่านทางภรรยาและผู้รับใช้พระเจ้าหลายคน
ความจริงมันคือคนบ้านี้เองครับกับคนที่กำลังเผยแพร่ข่าวประเสริฐโดยใจไม่ได้เชื่อมต่อกับที่คริสตจักร เหมือนดาวิดตอนที่ไปอยู่กับฟิลิสเตียตอนนี้ ใช้เล่ห์เหลี่ยมใช้หัวคิดเพื่อจะเอาชีวิตรอด ไม่มีพระเจ้าเลยตอนนี้ครับ มันเป็นความสกปรกชั่วร้ายมากในสายตาพระเจ้ากับการกระทำของดาวิดตอนนี้ครับ
ได้เห็นว่าพระเจ้าฝึกฝนชีวิตในความเชื่อให้กับดาวิดผ่านทางซาอูล เหมือนที่พระเจ้าฝึกฝนชีวิตของผมผ่านทางคริสตจักร ความลำบากตรงนี้มันกลับยิ่งทำให้เห็นพระเจ้าที่สถิตย์อยู่ด้วย กำลังคอยปกป้องดูแล เหมือนที่ได้เห็นว่าดาวิดแคล้วคลาดจากการไล่ล่าตามฆ่าของซาอูลได้ตลอดทุกครั้ง และได้เห็นการทำงานของมารซาตานที่คอยให้ความคิดที่ว่าอยู่ที่คริสตจักรต่อไปตายแน่ ต้องออกไปหาเงินเก็บไว้จะดีกว่า และถ้าติดตามความคิดนั่นไป นั่นต่างหากคือกำลังไปตายจริงๆ
ยอห์น 12:24-25 TH1971
[24] เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก [25] ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะธำรงชีวิตนั้นไว้นิรันดร์
แต่ปัญหาของหลายคนตอนนี้คือไม่เชื่อพระคำที่บอกว่าตายแล้วนี้ครับ ไม่เชื่อว่ากำลังถูกมารซาตานหลอกอยู่เพื่อนำไปฆ่า ควรระแวงกับมารซาตานแต่มาระแวงกับคริสตจักรที่ต้องการจะช่วยออกมา การพยายามจะรอดของพวกเขากลับทำให้ต้องตาย
เมื่อวานเกิดแผ่นดินไหว หลายคนก็ตื่นตระหนกหรือเครียดกับคนที่อาศัยในอาคารสูง จะมีเกิดขึ้นอีกไหม? ถ้ามีอีกจะโชคดีเหมือนครั้งนี้หรือ แล้วก็คงจะเริ่มหาที่อยู่ใหม่ที่คิดว่าปลอดภัย? นอกจากในพระเยซูแล้วมันไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยมากไปกว่านี้แล้วครับ
ถ้าพระเจ้าจะให้ตายอยู่ตรงไหนก็ตาย แต่ถ้าพระเจ้ายังไม่ให้ตายอยู่ตรงไหนก็ไม่ตายครับ จะอยู่หรือตายมันขึ้นอยู่กับพระเจ้าผู้กำหนดครับ ไม่ใช่มนุษย์เรากำหนดตัวเอง ถ้าพระเจ้าให้ตายก็ไปสวรรค์ แต่ถ้ายังไม่ให้ตายก็อยู่แบบแล้วแต่พระองค์ ปล่อยวางได้แบบนี้จะอยู่ที่ไหนใจก็สามารถพักผ่อนได้นะครับ ไม่งั้นก็ต้องหนีตายเหนื่อยทั้งชีวิตครับ
คนงานก่อสร้างที่ตายจากตึกถล่มเพราะแผ่นดินไหวครั้งนี้ พวกเขาก็พากันหนีตายจากที่บ้านไปที่นั่น เชื่อว่าไปที่นั่นได้เงินมาแล้วจะรอด ไม่มีใครเชื่อว่าจะต้องมาตายที่นั่นครับ แต่เพราะจะอยู่หรือตายมันไม่ได้ขึ้นกับมนุษย์เรา แต่ขึ้นอยู่กับพระเจ้าครับ
สดุดี 23:4 TH1971
[4] แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
ผมเห็นปัญหาของหลายคนในโบสถ์ เริ่มมาจากการที่ไม่เชื่อพระเจ้าครับ ไม่ใช้ชีวิตในพระเยซู ไม่เชื่อว่าอยู่ในพระเยซูแล้ว ผ่านทางคริสตจักรพระเจ้ากำลังจูงนำชีวิตให้อยู่ จึงระแวงสงสัยกับคริสตจักรตลอดเวลา ไม่กล้าจะปล่อยวางคือติดตามคริสตจักรกับพระคำแต่เลือกที่จะเชื่อในสมองตัวเองต่อไป ไม่เชื่อว่าตัวเองกำลังถูกมารซาตานหลอกเพื่อฆ่าทำลาย การอยู่กับคริสตจักรจึงกลายเป็นภาระ เป็นศัตรูของตัวเอง เพราะความสว่างกับความมืดไปด้วยกันไม่ได้อยู่แล้วครับ
สุดท้ายหลายคนเลือกที่จะออกไปเพราะได้ทำอะไรตามใจไม่ต้องอดทนรอคอย ไม่เชื่อว่ามันเป็นทางของมารฯที่กำลังนำไปสู่ความตายจริงๆ เพราะพวกเขาเข้ามาที่คริสตจักรก็ไม่ได้ปล่อยวางชีวิตตัวเองให้กับคริสตจักรแต่แรกอยู่แล้ว อยากให้ช่วยแต่ไม่ใช่แล้วแต่วิถีทางของคริสตจักร มันมีความต้องการในแบบของตัวเองอยู่ แค่ต้องการเนื้อหนังได้รับการตอบสนองไม่ยอมทิ้งสิ่งนี้ พอไม่ได้ก็เลยไปไม่รอคอยไม่ได้มาเพราะต้องการหลุดพ้นจากมันครับ
ประมาณอยากร่ำรวยสบายเนื้อหนังด้วยวิถีทางพระเจ้านั่นเอง แต่พอเริ่มรู้ว่ามันไม่ใช่ก็เลยถอนตัว เพราะไม่ได้สนใจเรื่องจิตวิญญาณนั่นเองครับ ไม่ได้มาในลักษณะของคนป่วยหนักที่ต้องได้รับการผ่าตัดรักษา จะรอดหรือตายขึ้นอยู่กับหมอเท่านั้น แต่มาในลักษณะของคนที่ยังมีแรงกำลังมีความคิดมาคอยกำกับหมอต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ใช้เข็มใช้ด้ายเย็บยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ หลายคนกำลังอยู่คริสตจักรด้วยใจแบบนี้ หมอก็เลยต้องปล่อยให้รักษาตัวเองต่อไปครับ
ดาวิดเองก็มีช่วงเวลาที่หลุดออกจากการจูงนำของพระเจ้าเหมือนกัน ก็เลยกลัวกับซาอูลจนเลยเถิดเตลิดไปพึ่งพากับศัตรูเลย เหมือนกัน หลายคนฟังพระคำมาเยอะแต่กลับออกไปจบลงที่เลือกตามเนื้อหนังตามสถานการเหมือนเดิมแบบนี้ครับ
เห็นหลายคนก็เคยเป็นอาจารย์สอนผู้อื่นด้วย แต่ตอนนี้ก็ออกไปทำมาหากินหาเก็บออมเหมือนคนทั่วไปแล้ว กลับไปเป็นทาสมารซาตานติดตามระบบของโลกวัตถุเหมือนเดิม เพราะยังไม่เคยได้เชื่อพระเจ้าครับ ถึงเคยเป็นอาจารย์ก็เป็นแค่ครูสอนหลักการความรู้แต่ตัวเองยังไม่เคยใช้ชีวิตด้วยความเชื่อ มาวันนึงขาดรายได้ผลประโยชน์เนื้อหนังยากลำบากจากตรงนั้นก็เลยเลิกราไปครับ
ผมเข้าใจพวกเขาครับเพราะบ่อยครั้งที่ใจผมก็คิดจะทำแบบนั้นเหมือนกัน รู้สึกไปต่อไม่ไหวกับการเดินบนเส้นทางของความเชื่อ คงไม่ได้จริงๆ แต่ก็ขอบคุณกับพระเจ้าที่คอยดึงรั้งผมไว้เรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ คริสตจักรครับเป็นตัวช่วยที่สำคัญจำเป็นมากสำหรับการดำเนินชีวิตในความเชื่อบนโลกที่เต็มด้วยการล่อลวงของมารซาตานแบบนี้ครับ
โฆษณา