29 มี.ค. เวลา 06:34

บ่วงวิญญาณในวังร้าง

ในวังเก่าแก่ที่รกร้าง ซากปรักหักพังของความรุ่งเรืองในอดีตยังคงหลงเหลืออยู่ ในความเงียบสงัดของค่ำคืน เสียงลมพัดผ่านช่องหน้าต่างและประตูที่ผุพัง เสียง กริ๊กๆ ของไม้เก่าแก่ที่ขยับตัว เสียงเหล่านี้สะท้อนไปทั่วบริเวณ เหมือนเสียงกระซิบของวิญญาณที่ไม่มีวันหลับใหล
ตำนานเล่าขานกันว่า พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพระมหากษัตริย์และพระราชินีผู้ทรงอำนาจ แต่ความโศกเศร้าและความตายได้เข้ามาเยือนวังแห่งนี้ พวกเขาล้มตายอย่างกะทันหัน และวิญญาณของพวกเขาถูกผูกติดอยู่กับผนังของวัง
ผู้คนเล่าว่าพวกเขาได้ยินเสียงร้องไห้ เสียงเดินของผู้คน เสียงดนตรีโบราณ และแม้แต่ได้เห็นเงาของผู้คนในชุดราชวงศ์โบราณเดินไปมาในบริเวณวัง
ในตอนกลางคืน บรรยากาศในวังนั้นน่ากลัวเป็นพิเศษ แสงไฟสลัวๆ จากดวงจันทร์ส่องผ่านช่องหน้าต่าง สร้างเงาแปลกประหลาดบนผนัง ราวกับว่าวิญญาณกำลังเฝ้าดูพวกเขาอยู่
คืนหนึ่ง กลุ่มนักสำรวจกลุ่มเล็กๆ ประกอบด้วยนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และช่างภาพ ตัดสินใจเข้าไปสำรวจพระราชวังร้างแห่งนี้ พวกเขาติดตั้งอุปกรณ์บันทึกเสียงและกล้องถ่ายภาพ หวังที่จะบันทึกหลักฐานของเรื่องเล่าลือต่างๆ
ขณะที่พวกเขากำลังสำรวจห้องโถงใหญ่ อุปกรณ์บันทึกเสียงก็เริ่มบันทึกเสียงร้องไห้ที่แผ่วเบา เสียงนั้นฟังดูเศร้าสร้อย ราวกับเป็นเสียงของสตรีที่กำลังทุกข์ทรมาน ช่างภาพพยายามถ่ายภาพ แต่กล้องกลับทำงานผิดปกติ ภาพที่ได้เป็นเพียงภาพมืดมัว เต็มไปด้วยจุดแสงประหลาด
ยิ่งลึกเข้าไปในวัง บรรยากาศก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น พวกเขารู้สึกถึงความหนาวเย็นอย่างประหลาด แม้ว่าอุณหภูมิภายนอกจะไม่ต่ำนัก บางครั้งพวกเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ เหมือนมีคนกำลังเรียกชื่อพวกเขา แต่เมื่อหันไปมอง ก็ไม่พบใคร
ในห้องนอนเก่าแก่ นักประวัติศาสตร์พบสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง สมุดบันทึกนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรที่ซีดจาง ดูเหมือนจะเป็นบันทึกประจำวันของพระราชินีองค์หนึ่ง บันทึกนั้นเล่าถึงความทุกข์ทรมาน ความโดดเดี่ยว และความตายที่กำลังจะมาถึง ดูเหมือนว่าพระราชินีองค์นี้ได้เสียชีวิตในห้องนี้ และวิญญาณของนางยังคงวนเวียนอยู่ในวัง
ทันใดนั้น ไฟในห้องก็ดับลง พวกเขาทั้งหมดตกอยู่ในความมืดมิด เสียงกรีดร้องและเสียงสิ่งของแตกกระจายดังขึ้น พวกเขารีบวิ่งหนีออกจากวัง ด้วยความหวาดกลัวและความสับสน เมื่อพวกเขาออกมาได้ พวกเขาก็พบว่าอุปกรณ์บันทึกเสียงและกล้องถ่ายภาพ เสียหายอย่างหนัก แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ พวกเขาพบว่า ภาพถ่ายบางภาพ ปรากฏภาพเงาของผู้หญิง ในชุดราชินี ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา ในขณะที่พวกเขากำลังวิ่งหนี
หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น นักสำรวจทั้งสามต่างหวาดกลัว พวกเขาพยายามลบภาพถ่ายที่น่ากลัวออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ ภาพเงาของพระราชินียังคงปรากฏอยู่ ไม่ว่าจะพยายามแก้ไขอย่างไรก็ตาม
นักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ได้ศึกษาสมุดบันทึกของพระราชินีอย่างละเอียด เขาพบว่า พระราชินีองค์นี้ถูกใส่ร้ายป้ายสี และถูกประหารชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม ความแค้นและความทุกข์ทรมานของนาง จึงทำให้วิญญาณของนางยังคงวนเวียนอยู่ในวัง รอคอยการชดเชยและการปลดปล่อย
ด้วยความรู้สึกผิด และความสงสาร นักประวัติศาสตร์จึงตัดสินใจกลับไปที่พระราชวังอีกครั้ง เขาต้องการทำพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อปลดปล่อยวิญญาณของพระราชินี เขาอ่านบทสวด และอธิษฐานขอให้วิญญาณของนางได้รับความสงบสุข
ในคืนนั้น บรรยากาศในวังดูแตกต่างออกไป ลมพัดเบาๆ เสียงร้องไห้หายไป อากาศอบอุ่นขึ้น และความรู้สึกหวาดกลัวก็ค่อยๆ จางหายไป เมื่อรุ่งเช้ามาถึง นักประวัติศาสตร์ออกจากวัง เขาไม่พบเงาของพระราชินีอีกเลย ภาพถ่ายที่เคยมีเงาของพระราชินี ก็กลับกลายเป็นภาพปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรื่องราวของพระราชวังร้าง กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันต่อๆ มา
โฆษณา