[รีวิวอัลบั้ม] MAYHEM - Lady Gaga >>> เริงระบำวันมืดมน
-หลังฟังจบ รู้สึกดีใจและเกินคาดที่เจ๊กาก้าสามารถ throwback ไปสู่ยุค The Fame ที่ผมเคยตื่นเต้นและเป็น first impression ให้กับผมและใครหลายคน แต่มันก็มีเงื่อนไขแห่งข้อจำกัดของอายุ เทรนด์ electro/synth-pop ที่ตอนนี้ไม่ล้ำเหมือนแต่ก่อน และ Lady Gaga ก็ไม่ใช่ศิลปินที่ถูกจดจำในฐานะคน set trend ได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว
-ตอนแรกผมแทบไม่คาดหวังอะไรจากเจ๊เลยครับ เพราะสามอัลบั้มก่อน Artpop, Joanna และ Chromatica อยู่ในทรงไม่ว้าวเท่า The Fame และ Born This Way ดีบ้าง งั้นๆบ้างผสมปนเป เลยทำให้ไม่เห็นแววที่เจ๊จะสามารถกลับไปสู่โหมดแดนซ์ชิคๆแบบ The Fame ได้อีกต่อไป
-ความไม่น่าเชื่อเริ่มต้นตั้งแต่แทร็คแรกเพลงเดียวกับเพลงที่ผมรู้สึกเฉยๆตั้งแต่ตอนเปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วย Disease ด้วยความ rage และ dark pop ที่ไม่ได้ใหม่ก็จริง แต่กลับกลายเป็นความเหมาะเหม็งที่สร้างความเร่งเร้าได้ดีพอที่จะปูทางสู่พลังงานด้านมืดบางอย่าง
ความ weird แห่งการท่องมนต์โอมมะลึกกึ๊กกึ๋ยเต้นสะบัดท่ามกลางซาตานชุดแดงที่แลดูเฮฮาและเฟรนด์ลี่เหลือเกิน ซิงเกิ้ลนี้ถือเป็นตัวชูโรงที่สอดรับกับอัลบั้มด้วยคำถาม dance or die ไปกับคลื่นชีวิตในเวลาเดียวกัน
-Garden of Eden แค่ชื่อเพลงรู้เลยทันทีว่าต้องเล่นเรื่องอะไร สวนสวรรค์ Eden ที่มีกฏเหล็กอยู่ข้อนึง ห้ามแดกแอปเปิ้ลจากต้นไม้แห่งความดีและชั่วร้ายเป็นอันขาด ซึ่งเพลงนี้ก็คงหนีไม่พ้นการโดนสิ่งยั่วยุที่นำพาไปสู่ความชิบหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นความบาปที่มาในแนวทางเต้นยั่วๆบดๆซุกซนในผับแสงสี พร้อมทั้งตบบีทจัดเต็มในช่วง Outro ด้วย
-Vanish Into You เป็นเพลงใจสลายก็จริง แต่โทนเพลงโคตรจะ hopeful สวนทางความเฮิร์ทหลังการจากลา แต่ผมโคตรชอบเอามากๆ โดยเฉพาะ vocal การลากเสียงเว้าวอนในท่อนฮุกและเป็นบัลลาดที่ไม่ได้มาตามสูตรมิติเดียว verse ก็ถูกแปลงค่าการเอื้อนเอ่ยให้เอคโค่ ประหนึ่งเล่าเรื่องของคนที่ลืมคนรักเก่าไม่ได้จนอยากจะไปสิงสู่คนๆนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปเลย ฟังดูแอบโรคจิต แต่ความติดหูของการเว้าวอนที่ผมชอบนักชอบหนากลับทำให้เพลงที่จงใจให้หลอนกลายเป็นซาบซึ้งกินใจ ลดความโศกไปได้
มีคนสันนิษฐานด้วยว่า เจ๊แอบอุทิศเพลงนี้ให้กับปู่ Tony Bennett ที่เคยร่วมงานด้วยกันเต็มๆถึง 2 คอลแลปอัลบั้ม และได้จากโลกนี้เมื่อปี 2023 โดยเฉพาะประโยคในท่อนฮุก We were happy just to be alive บอกเป็นนัยยะแห่งความปิติยินดีที่เจ๊ได้มีโอกาสร่วมงาน และได้วนเวียนอยู่กับปู่ Tony ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่
-สำหรับเพลง Zombieboy ชัดเจนว่า เธอต้องการอุทิศให้หนุ่มรอยสักฉายาเดียวกันกับชื่อเพลงอย่าง Rick Genest ที่เคยร่วมงานในเอ็มวี Born This Way อันสุดกระฉ่อน (ในแบบที่เมื่อทำเพลงนี้ก็นึกถึง Rick อยู่ตลอดเวลา) ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นการพร่ำบ่นถึงชีวิตหลังเฉลิมฉลองที่เริ่มจะห่อเหี่ยวเหมือนซอมบี้ ทั้งๆที่เมื่อคืนที่ผ่านมายังสามารถปาร์ตี้มีความสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยงอยู่เลย vibe มาแนวเฉลิมฉลองฉาบด้วยดิสโก้ชวนให้ปรบมือพลัน
-LoveDrug และ How Bad Do U Want Me เป็นการตอกย้ำเซนส์ป็อปที่น่าจะซื้อใจคนฟังได้อย่างต่อเนื่อง LoveDrug คือการตกหลุมพรางเสพติดความรักเสียจนกลัวที่จะโดดเดี่ยว Verse ปูทางมาด้วยบีทที่หนักแน่นแข็งแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเจอท่อน Hook ที่โชว์พลังเสียงแบบโอเปร่าและ punchline ก็เด็ดซื่อตรงสุดๆ “ไม่เอาหรอกความเศร้า ชั้นขอเต้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะโอเค แต่ชั้นก็อยากได้ยาแห่งความรักมาฮีลใจจะได้ไหม?” เป็นยาขมที่ติดงอมแงมแน่นอน
-ในขณะที่ How Bad Do U Want Me กดสูตร mid-tempo synth pop (โคตรจะ Taylor Swift) แต่ก็สามารถเน้นความไดนามิคได้ไหลลื่น พร้อมกับตั้งคำถาม self-identity ในความสัมพันธ์ที่ต้องอยู่บนความคาดหวังว่าต้องเป็น Good Girl ในสายตาของหนุ่มๆเสมอ เพราะใครๆก็ชอบ Good Girl ในเมื่อความเป็นสาวแสบที่อาจไม่ดีพอ มันเลยเป็นความน้อยใจที่ถูกตีตกด้วยการโดนเปรียบเทียบอยู่ร่ำไป
-Shadow Of A Man ใครชอบ Madonna, Kylie Minogue น่าจะชอบจริตสำเนียง disco pop ลักษณะนี้ และชูความ feminine แห่งการดิ้นรนภายใต้แรงกดดันและเงาแห่งสังคมปิตาธิปไตย (โดยเฉพาะโลกอุตสาหกรรมบันเทิง) ที่บางครั้งเราต้องปลงเพื่อที่จะได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำต่อไป ไม่น่าจะมีใครชนะได้ตลอดเวลา
ทั้งนี้ด้วยความที่อัลบั้มนี้คือการซึมซับอิทธิพลจากคนอื่น มันก็มีบ้างที่เธอซึมซับอิทธิพลของบุรุษผู้มาก่อนกาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฉกเช่นการได้รับอิทธิพลของ David Bowie ที่เธอเคยทำการแสดงเพื่อ tribute และเพลงที่ผมแอบแซวก่อนหน้านั้นอย่าง Killah ที่ดัดสำเนียงแบบ Prince มันก็เลยเชื่อมโยงกับสิ่งที่ต้องการสื่อใน Shadow Of A Man ที่ไม่อยากให้มองว่าเป็นสิ่งที่ผิด การอยู่ใต้ร่มเงาไม่ใช่กรงขังที่จำกัดการแสดงออกของตัวเองเสียทีเดียว อยากจะโอบรับก็ทำไปเถอะ
-Blade of Grass ถือเป็น ballad minimal pop ที่ back to basic สุดๆ ลูกเล่นไม่ซับซ้อนเหมือนเพลงอื่นๆ และยังเป็นเพลงที่หวานแหววสุดๆเลยครับ ที่มาที่ไปก็ยังคงเกี่ยวกับคู่หมั้นคนปัจจุบัน Michael Polansky ที่ตั้งคำถามอย่างซื่อๆเลยว่า จะขอหมั้นด้วยวิธีไหนดี? เจ๊ก็เลยตอบไปว่า งั้นไปเอาหญ้าที่สวนหลังบ้านมาร้อยวงแหวนเลยก็ได้นะ
สุดท้ายไมเคิลก็ขอหมั้นด้วยการร้อยหญ้าเป็นแหวนให้เธอ ณ สวนหลังบ้านจริงๆ ซึ่งก็ตรงกับวัน April Fool’s Day จนเจ๊แกนึกว่าจ้อจี้ แต่ขอจริงนั่นแหละ เป็นความโรแมนติกที่เรียบง่ายทั้งท่วงทำนองและสตอรี่ที่ต้องมีพิธีรีตรองให้อลังการมาก โดยภายหลังไมเคิลก็ให้แหวนหมั้นสั่งทำสี rose gold 18 กะรัตไปตามระเบียบ
-จากเพลงที่ว่าด้วยการถูกขอหมั้นหมาย สู่การปิดท้ายด้วย Die With A Smile ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมถึงเลือกเพลงนี้ ผมไม่เถียงในเรื่องความไพเราะ ฮิตแบบไม่แปลกใจ แต่ด้วยความที่ MAYHEM ถูกปูทางด้วยเรื่องราวที่ส่วนตัวและ individual ของ Lady Gaga เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การมาของ Bruno Mars จึงไม่จักสำคัญต่อการรับเชิญเป็นบุคคลที่สองในท้องเรื่องอีกต่อไป ดูยังไงก็ bonus track เซอร์วิสแฟนอยู่ดีครับ
-ถึงผมจะชอบอัลบั้มนี้ด้วยความเอ็นจอยตามที่บรรยายข้างต้น มันก็มีจุดที่น่าเสียดายบางอย่างที่แอบติดอยู่ในใจก็คงจะเป็นการที่อัลบั้มนี้หาทางจบอัลบั้มได้ไม่แนบเนียนก็เท่านั้น การเลือกจบด้วย Die With A Smile คงเป็นจุดที่คนฟังอัลบั้ม complain ในความเหมาะเหม็งในฐานะซิงเกิ้ลฮิตที่ทำหน้าที่แยกเป็นเอกเทศจาก MAYHEM ชัดเจนเกินไป