Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
30 มี.ค. เวลา 08:22 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⚖️ นับถอยหลัง 2 เมษา 'วันพิพากษา' การค้าโลก‼️
พรีวิวก่อนเจอของจริงในวันที่ 2 เมษายนที่จะถึงนี้ จะได้เตรียมใจ + ทำใจกันไว้แต่เนิ่นๆ
โดยเรื่องก็คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเตรียมที่จะประกาศใช้มาตรการ "ภาษี" ครั้งใหญ่ ซึ่งเขาเรียกวันนั้นว่าเป็น ‘วันปลดแอก’ (Liberation Day) เลยทีเดียวค่ะ
🎯 แล้วแผนภาษีใหม่นี้มันคืออะไร?
หลักการง่ายๆ ที่ทรัมป์บอกก็คือ "ภาษีตอบโต้" (Reciprocal Tariff) ค่ะ พูดง่ายๆ คือ ถ้าประเทศไหนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาสูงเท่าไหร่ อเมริกาก็จะเก็บภาษีสินค้าจากประเทศนั้นในอัตราเดียวกัน หรืออาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ
แต่ที่ซับซ้อนกว่านั้นคือ ทรัมป์ไม่ได้มองแค่ "อัตราภาษีศุลกากร" (Tariff Rate) อย่างเดียวนะคะ เขายังมองไปถึง:
1️⃣ อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers - NTMs): พวกนี้คือ กฎระเบียบต่างๆ ที่ทำให้การส่งออกยุ่งยากขึ้น เช่น มาตรฐานสินค้าที่เข้มงวด ขั้นตอนขอใบอนุญาตที่ซับซ้อน หรือโควตานำเข้าต่างๆ
2️⃣ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ทีมงานทรัมป์มองว่า VAT เนี่ย บางประเทศใช้เหมือนเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการส่งออก (เพราะเวลาส่งออกมักจะได้คืนภาษีส่วนนี้) ซึ่งทำให้สินค้าจากประเทศเหล่านั้นได้เปรียบสินค้าอเมริกันที่ส่งไปขายในประเทศนั้นๆ
📜ใครอยู่ในข่ายที่จะโดนบ้าง?
ตอนนี้ทีมงานทรัมป์กำลังโฟกัสไปที่ 15 ประเทศคู่ค้า ที่อเมริกา "ขาดดุลการค้า" ด้วยมากที่สุด (หมายถึง อเมริกานำเข้าสินค้าจากประเทศเหล่านี้เยอะกว่าที่ส่งออกไปขายให้เขามากๆ ค่ะ) ซึ่ง 15 ประเทศนี้รวมกันแล้ว คิดเป็นสัดส่วน มากกว่า 75% ของการนำเข้าสินค้าทั้งหมดของสหรัฐฯ และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตัวเลขขาดดุลการค้าโดยรวมของอเมริกาสูงลิ่วเลยค่ะ
ใน 15 ประเทศนี้ มีใครบ้าง? ลองดูกันค่ะ
🇨🇳 จีน
🇲🇽 เม็กซิโก
🇻🇳 เวียดนาม
🇮🇪 ไอร์แลนด์
🇩🇪 เยอรมนี
🇹🇼 ไต้หวัน
🇯🇵 ญี่ปุ่น
🇰🇷 เกาหลีใต้
🇨🇦 แคนาดา
🇮🇳 อินเดีย
🇹🇭 ประเทศไทย (ใช่ค่ะ มีบ้านเราด้วยนะคะ ต้องจับตาดูใกล้ชิดเลย‼️)
🇮🇹 อิตาลี
🇨🇭สวิตเซอร์แลนด์
🇲🇾 มาเลเซีย
🇮🇩 อินโดนีเซีย
โดยคนในทีมทรัมป์เคยพูดถึงกลุ่มนี้ว่าเป็น "Dirty 15" หรือ 15 ประเทศตัวแสบด้วยนะคะ! อย่างไรก็ตามก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ เพราะรายชื่อที่ทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เคยขอความเห็น ก็มีถึง 21 ประเทศ และทรัมป์เองก็เคยพูดว่าอยากจะใช้มาตรการนี้กับทุกประเทศเลย ยกเว้นแค่บางประเทศเท่านั้น
1
⚠️ ถ้าทรัมป์เอาจริงแบบสุดๆ (Maximal Approach) จะเกิดอะไรขึ้น?
ทีนี้ มาถึงคำถามสำคัญ... ถ้าทรัมป์จัดเต็มแบบ 'Maximal' คือเอาทั้ง 3 ปัจจัย (ภาษี, NTMs, VAT) มาคิดรวมกันหมด มันจะแรงแค่ไหน? นักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg ได้ใช้แบบจำลองที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เคยใช้วิเคราะห์ เพื่อประเมินผลกระทบในสถานการณ์ที่เข้มงวดที่สุด พบว่า:
👉🏻 กำแพงภาษีสหรัฐฯ อาจสูงขึ้นมหาศาล: จากเดิมที่อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ หากใช้มาตรการนี้เต็มรูปแบบ อาจทำให้อัตราภาษีเฉลี่ย พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลายเท่าตัว ไปอยู่ในระดับที่ไม่เคยเห็นมานานมาก เทียบได้กับยุคก่อนสงครามโลกเลยทีเดียว
การขึ้นภาษีในระดับนี้จะทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าแทบทุกชนิดแพงขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบนี้จะ แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ ค่ะ บางประเทศอาจเจอการขึ้นภาษีในระดับที่สูงมากเป็นพิเศษ ขณะที่บางประเทศอาจเจอน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับโครงสร้างภาษีและอุปสรรคทางการค้าเดิมของแต่ละประเทศที่มีต่อสินค้าอเมริกัน
👉🏻 เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเผชิญความท้าทายรุนแรง: การขึ้นภาษีอย่างหนักหน่วงนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ (GDP) อาจ ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างหนัก หรือถึงขั้นทำให้เศรษฐกิจหดตัวได้เลย
ซึ่งหมายถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ซบเซาลง การจ้างงานที่ลดลง และการลงทุนที่ชะงักงัน โดยผลกระทบเหล่านี้คาดว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่จะ ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า
👉🏻 ค่าครองชีพในสหรัฐฯ อาจพุ่งสูงขึ้น: เมื่อภาษีนำเข้าสูงขึ้น ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าที่นำเข้ามาขายในอเมริกาแพงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูป
ผลก็คือ อาจสร้าง แรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทำให้ข้าวของเครื่องใช้แพงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กระทบต่อกำลังซื้อและ ค่าครองชีพของประชาชนอเมริกันโดยตรง ซึ่งอาจยิ่งทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจดูแย่ลงไปอีก
‼️ นี่คือภาพจำลองผลกระทบในกรณีที่ทรัมป์เลือกใช้แนวทางที่เข้มงวดที่สุด หรือ "Maximal Approach" นะคะ ซึ่งเป็นการประเมินจากแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในระดับที่รุนแรง
แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกกับภาพจำลองผลกระทบที่รุนแรงนั้นนะคะ เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้สถานการณ์จริงเบากว่าที่คาดการณ์ไว้มากค่ะ เช่น
1️⃣ เป็นเพียง 'ภาพจำลองสถานการณ์ที่แรงที่สุด': การประเมินผลกระทบที่ว่ามานั้น ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าทรัมป์จะใช้มาตรการแบบ 'จัดเต็ม' คือนำทั้ง 3 ปัจจัย (ภาษี, อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี NTMs, และ VAT) มาคำนวณรวมกันทั้งหมดในระดับสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปค่ะ
การคำนวณพวกนี้เป็นการ "ประมาณการ" ซึ่งมีความไม่แน่นอนอยู่แล้ว โดยเฉพาะการตีมูลค่าของอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTMs) นั้นซับซ้อนและมีหลายวิธีคิด ซึ่งอาจให้ผลลัพธ์ต่างกันได้ ดังนั้น ผลลัพธ์สุดท้ายจริงๆ อาจจะเบากว่าภาพที่จำลองไว้มากก็ได้ค่ะ
2️⃣ ความไม่แน่นอนสูงมาก และอาจมีการผ่อนปรน: ต้องย้ำว่า ณ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ค่ะ ทุกอย่างยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา มีความเป็นไปได้สูงที่ทรัมป์อาจจะเลือกใช้มาตรการที่ "ผ่อนปรน" (lenient) กว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
ซึ่งอาจหมายถึงการขึ้นภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า การจำกัดจำนวนประเทศเป้าหมาย หรือการทยอยใช้มาตรการแทนที่จะทำทีเดียวทั้งหมด ทรัมป์เองก็เคยเปรยๆ ว่าอาจจะผ่อนปรนก็ได้นะคะ ซึ่งสะท้อนว่ายังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
นอกจากนี้ อย่าลืมว่า การเจรจาต่อรองกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น ค่ะ หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในข่าย 15 ประเทศเป้าหมาย กำลังพยายามล็อบบี้และเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อจำกัดขอบเขตผลกระทบ หรือเพื่อให้ได้รับการยกเว้นในบางรายการ ซึ่งผลลัพธ์ของการเจรจาเหล่านี้จะมีผลอย่างมากต่อมาตรการสุดท้ายที่จะประกาศออกมาค่ะ
👉🏻 มันไม่ใช่แค่การประกาศฝ่ายเดียว แต่เป็นกระบวนการที่มีการต่อรองกันอยู่เบื้องหลัง
3️⃣ อาจมี 'รูปแบบ' การเก็บภาษีที่แตกต่างออกไป: มีความเป็นไปได้ว่า แทนที่จะคำนวณภาษีต่างตอบแทนแบบแยกรายประเทศอย่างซับซ้อน ซึ่งยุ่งยากและอาจนำไปสู่ข้อพิพาทได้ง่าย รัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะเลือกใช้แนวทางอื่นที่ตรงไปตรงมามากกว่า เช่น กรณีของ สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งมีกฎระเบียบและอัตรา VAT ขั้นต่ำที่ใช้ร่วมกันทั้งกลุ่ม
มีความเป็นไปได้ว่าทรัมป์อาจจะเลือกเก็บ ภาษีในอัตราคงที่อัตราเดียวกับทุกประเทศใน EU ไปเลย (เช่น 25% ที่เคยขู่ไว้) แทนที่จะมาคำนวณแยกตามรายประเทศสมาชิกที่มีการค้ากับสหรัฐฯ สูงๆ อย่างเยอรมนี ไอร์แลนด์ หรืออิตาลี วิธีนี้อาจจะง่ายกว่าในทางปฏิบัติ แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบในวงกว้างอยู่ดี
4️⃣ แผนภาษีนี้เป็นแค่ 'ส่วนหนึ่ง' ของภาพใหญ่: ต้องไม่ลืมว่า นโยบาย "ภาษีต่างตอบแทน" นี้ เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆ แผนการค้าของทรัมป์นะคะ ที่ผ่านมาและในปัจจุบัน มีมาตรการอื่นๆ ที่บังคับใช้อยู่แล้ว หรือที่เคยประกาศ/ขู่ไว้ ซึ่งอาจมีปฏิสัมพันธ์กัน หรืออาจถูกนำมาปรับใช้แทนกันได้ เช่น
👉🏻 ภาษีเพิ่มเติมสำหรับสินค้าจีน (ที่ขึ้นไปแล้ว)
👉🏻 ภาษีเหล็กและอลูมิเนียม (ที่บังคับใช้แล้วกับหลายประเทศ)
👉🏻 ภาษีรถยนต์นำเข้า (ที่เพิ่งประกาศในอัตราสูง) ซึ่งกระทบหนักกับหลายประเทศที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ให้สหรัฐฯ
1
👉🏻 ความเป็นไปได้ที่จะเก็บภาษีเพิ่มเติมกับแคนาดาและเม็กซิโก หากไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือ (USMCA)
👉🏻 การขู่ว่าจะเก็บภาษีกับสินค้ายุทธปัจจัยสำคัญอย่างยาและเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) แม้ว่าล่าสุดจะมีสัญญาณว่าอาจจะยังไม่ดำเนินการในเร็วๆ นี้ก็ตาม
👉🏻 การขู่เก็บภาษี EU ในภาพรวม (ดังที่กล่าวไป)
1
ดังนั้น การวิเคราะห์ผลกระทบจริงๆ ต้องดูภาพรวมของมาตรการภาษีทั้งหมดประกอบกัน และต้องจับตาดูว่าทรัมป์จะเลือกใช้เครื่องมือไหน อย่างไร กับใครบ้างค่ะ
🎯 สรุปง่ายๆ คือ
วันที่ 2 เมษายนนี้ (ตามเวลาสหรัฐฯ ซึ่งอาจตรงกับวันที่ 3 เมษายนในบ้านเรา) เป็นวันที่ต้องจับตาดูให้ดีเลยค่ะ ว่าทรัมป์จะประกาศใช้มาตรการภาษีต่างตอบแทนนี้จริงจังแค่ไหน จะออกมาแบบจัดหนัก เขย่าเศรษฐกิจโลก หรือจะออกมาแบบซอฟท์ๆ หน่อย เพื่อลดแรงกระแทกต่อตลาดและเศรษฐกิจ
1
⚠️ ถ้าออกมาแบบแรงสุด: ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเองชะลอตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้น (Stagflation) ตลาดหุ้นในอเมริกาอาจตกใจร่วงแรง ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นในประเทศคู่ค้าที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มากๆ หรืออยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกเพ่งเล็ง ก็อาจจะได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างหนักเช่นกัน ค่ะ
ลองนึกภาพว่าถ้าบริษัทส่งออกของประเทศนั้นๆ ขายของไปอเมริกาได้น้อยลงเพราะภาษีแพงขึ้น รายได้และกำไรก็จะลดลง ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนคงไม่ชอบ และอาจเทขายหุ้นจนทำให้ตลาดหุ้นของประเทศนั้นๆ ปรับตัวลงแรงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศหรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก
😮💨 แต่ถ้าออกมาเบาๆ: ก็อาจจะกระทบเศรษฐกิจและตลาดหุ้นน้อยลง แต่ก็อาจจะไม่บรรลุเป้าหมายที่ทรัมป์ต้องการในเรื่องการปรับสมดุลการค้า หรือเพิ่มรายได้จากภาษี และอาจทำให้การขู่ขึ้นภาษีในอนาคตดูไม่น่าเชื่อถือเท่าเดิม
ความเป็นจริงคงอยู่ตรงกลางระหว่างสองทางนี้ค่ะ ซึ่งเราต้องรอติดตามรายละเอียดที่จะประกาศออกมาจริงๆ ไว้มีข้อมูลเพิ่มเติม แอดจะรีบมาวิเคราะห์และอัปเดตให้ฟังกันอีกแน่นอนค่ะ!
สำหรับนักลงทุน ช่วงนี้ก็ต้องติดตามข่าวสารนี้อย่างใกล้ชิด เพราะถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะต่อไปได้ค่ะ
#การค้าโลก #ภาษีทรัมป์ #เศรษฐกิจอเมริกา #การเงินเข้าใจง่าย
เศรษฐกิจ
การเงิน
การลงทุน
2 บันทึก
11
4
2
11
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย