31 มี.ค. เวลา 06:16 • ประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์การทานเนื้อ “สุนัข“

บทความนี้อาจจะไม่ถูกใจคนรักน้องหมาเท่าไรนัก หากใครไม่ชอบ อาจจะสามารถข้ามไปได้เลยนะครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของการทานเนื้อ “สุนัข”
มีการประเมินว่าในแต่ละปี มีสุนัขถูกฆ่าและนำไปบริโภคเป็นจำนวนรวมกันทั่วโลกเกินกว่า 20 ล้านตัว
สำหรับประเทศที่มีรายงานว่ามีการบริโภคเนื้อสุนัขในบางพื้นที่ (ย้ำว่าบางพื้นที่) ก็เช่น จีน เกาหลีใต้ กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไนจีเรีย
ส่วนที่ยุโรป ก็มีรายงานว่าที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็มีการบริโภคเนื้อสุนัขและเนื้อแมวเช่นกัน
และอันที่จริง การบริโภคเนื้อสุนัขนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่มีมานานนับพันปีแล้ว
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่บ่งบอกว่ามนุษย์ในยุคโบราณมีการบริโภคเนื้อสุนัข ได้ถูกค้นพบที่พื้นที่ของรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา และมีอายุกว่า 9,200 ปี
ส่วนที่ประเทศจีน ก็มีชื่อเสียงเรื่องการทานเนื้อสุนัข มีแม้กระทั่งเทศกาลสำหรับเนื้อสุนัขโดยเฉพาะ
แต่สำหรับในยุคสมัยใหม่ ชาวจีนยุคใหม่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ ก็มองว่าสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยง และต่อต้านการทานเนื้อสุนัข
สำหรับประวัติศาสตร์การทานเนื้อสุนัขของชาวจีนนั้น มีมาตั้งแต่ยุคหินใหม่ หรือเมื่อราว 10,000-4,500 ปีก่อนคริสตกาล และบันทึกแรกที่เอ่ยถึงการทานเนื้อสุนัข ก็คือเมื่อยุค 500 ปีก่อนคริสตกาล
ในสมัยจีนโบราณ ชาวนาชาวไร่ต้องประสบปัญหาอดอยาก เสบียงร่อยหรอ และเนื้อสัตว์ ก็คือสิ่งที่หาได้ยาก คือของหรูหรา
อาหารหลักๆ ของชาวนาชาวไร่ในสมัยจีนโบราณ ก็คือ ข้าว ข้าวฟ่าง ผักต่างๆ และเนื้อสุนัข
ในยุควสันตสารท หรือ ยุคชุนชิว เมื่อราว 770-476 ปีก่อนคริสตกาล หญิงที่คลอดบุตร จะได้ของขวัญเป็นเนื้อสุนัข
แต่เมื่อถึงยุคสมัยของราชวงศ์สุยเมื่อค.ศ.518-618 (พ.ศ.1061-1161) และราชวงศ์ถังเมื่อค.ศ.618-917 (พ.ศ.1161-1460) เนื้อสุนัขเริ่มไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง
ข้ามมาทางฝั่งอเมริกา เนื้อสุนัขนั้นเป็นที่โปรดปรานของ “ชาวแอซเท็ก (Aztecs)” เป็นอย่างมาก
ชาวแอซเท็ก คือกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศเม็กซิโก โดยมีบันทึกจากนักประวัติศาสตร์ชาวสเปนตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 ได้กล่าวถึงงานเลี้ยงของชาวแอซเท็ก ระบุว่าในงานเลี้ยงนั้น ประกอบด้วยเนื้อไก่งวง 100 ตัว เนื้อสุนัข 40 ตัว
สำหรับชาวแอซเท็ก เนื้อสุนัขคือเนื้อชั้นสูง เลิศเลอยิ่งกว่าเนื้อมนุษย์ซะอีก โดยชาวแอซเท็กจะเลี้ยงสุนัขไร้ขนชนิดหนึ่งเป็นอาหาร และจะนำมาทำเป็นอาหารเมื่อสุนัขมีอายุได้หนึ่งปี เนื่องจากคิดว่าสุนัขในวัยนี้มีเนื้อที่มีรสขาตินุ่ม อร่อย
ข้ามมาที่ยุโรป ก็ใช่ว่าจะไม่มีการบริโภคเนื้อสุนัข
อันที่จริง ชาวยุโรปก็มีการทานเนื้อสุนัขมาเป็นเวลานานแล้ว โดยในข่วงศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เหล่าคนยากจน ชนชั้นล่างในยุโรป มักจะทานเนื้อสุนัขในช่วงเวลาที่อดอยาก ขาดแคลนอาหาร
ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในสมัยศตวรรษที่ 19 ก็มีร้านจำหน่ายเนื้อสุนัข และขายดีมากซะด้วยในหมู่ชาวปารีส เป็นที่ร่ำลือว่ามีรสชาติที่นุ่ม อร่อย
ร้านขายเนื้อสุนัขในปารีส
ในช่วงที่เยอรมนีทำการปิดล้อมปารีสเมื่อค.ศ.1870-1871 (พ.ศ.2413-2414) ร้านอาหารในปารีสก็ได้นำเสนอเมนูที่ทำจากเนื้อสุนัขหลายเมนู เช่น
-ตับสุนัขหั่นเป็นชิ้นๆ
-เนื้อสุนัขไม่มีกระดูกราดซอสมะเขือเทศ
-ขาสุนัขตกแต่งด้วยหนูวัยเยาว์
ส่วนที่เยอรมนี ระหว่างค.ศ.1904-1914 (พ.ศ.2447-2457) ก็มีการบริโภคเนื้อสุนัขไปปีละกว่า 84 ตัน และระหว่างปีค.ศ.1920-1924 (พ.ศ.2463-2467) ชาวเยอรมันก็บริโภคเนื้อสุนัขไปกว่า 115 ตัน
แต่สำหรับในปัจจุบัน การทานเนื้อสุนัขคงไม่ใช่สิ่งที่แพร่หลายหรือยอมรับได้ง่ายๆ อีกแล้ว
แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนในหลายๆ พื้นที่ ก็ยังคงชื่นชอบการทานเนื้อสุนัขอยู่ และอาจจะมองว่าไม่ต่างอะไรจากที่คนทั่วๆ ไปทานเนื้อไก่ เนื้อหมู
แต่สำหรับผม คงขอผ่านดีกว่าครับ คงพอใจกับเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ และเนื้อปลาดีกว่า
เนื้อสัตว์ที่แปลกที่สุดที่ผมเคยทาน ก็คือเนื้อกวางและเนื้อกระต่าย
แต่สำหรับเนื้อสุนัข อันนี้คงไม่ไหวจริงๆ ครับ ขอผ่านดีกว่า
โฆษณา