1 เม.ย. เวลา 13:39 • หุ้น & เศรษฐกิจ

อำนาจมืดของ Big 4 ยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าแตะสู่อิทธิพลที่อยู่เหนือรัฐบาลทั่วโลก

กลุ่มบริษัทที่ถูกขนานนามว่า “Big 4” ภารกิจของพวกเขาดูเรียบง่าย คือตรวจสอบบัญชีบริษัทใหญ่ๆ ของโลกเพื่อให้มั่นใจว่าตัวเลขถูกต้อง แต่ภายใต้ภาพลักษณ์นี้ซ่อนความจริงที่น่าสยดสยอง พวกเขาคือพี่ใหญ่แห่งวงการการเงินโลกที่หลบเลี่ยงการตรวจสอบมานานเกินไป
พวกเขามีอำนาจมากมายมหาศาล แผ่อำนาจไปทั่วธุรกิจระดับโลกและท้องถิ่น อำนาจนี้ไม่ถูกตรวจสอบ ไม่โปร่งใส และมองไม่เห็น ซึ่งปัจจุบันงานตรวจสอบบัญชีสร้างรายได้แค่หนึ่งในสามของรายได้ทั้งหมด ที่เหลือมาจากการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลและบริษัทเดียวกับที่พวกเขากำลังตรวจสอบ
ปัจจุบัน Big 4 มีพนักงานมากกว่าล้านคนใน 180 ประเทศ ภายใต้ร่มการให้คำปรึกษา พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในรัฐบาลและเขียนช่องโหว่ในการปฏิรูปภาษี คำถามก็คือ “มันเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขากำลังนั่งในห้องร่างกฎหมายภาษี แต่ขณะเดียวกันก็ขายวิธีหลบเลี่ยงให้บริษัทต่างชาติ?”
1
ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญ พวกเขาแปลงกลายเป็นสถาปนิกสำหรับแผนการหลีกเลี่ยงภาษี สร้างช่องโหว่ แนะนำบริษัทใช้ช่องโหว่นั้น และยังตรวจสอบบริษัทเหล่านั้นด้วย ผู้เชี่ยวชาญประมาณการว่าแผนการของพวกเขาทำให้รัฐบาลทั่วโลกสูญเสียเงินที่ควรได้รับไปอย่างน้อย 1 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
แต่ Big 4 กลายเป็นผู้ทรงอำนาจได้อย่างไร? ใครอยู่เบื้องหลังการครอบงำระดับโลกของพวกเขา? เราต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอันต่ำต้อย
ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 โครงการรถไฟขนาดใหญ่กำลังบูม การปฏิวัติอุตสาหกรรมดำเนินไปอย่างเต็มที่ โลกเปลี่ยนแปลงแบบฉุดไม่อยู่ แต่มีปัญหาใหญ่ โลกการเงินยุคนั้นมีการควบคุมน้อยมาก คล้ายบริษัทคริปโตในบาฮามาสปัจจุบัน เต็มไปด้วยนักต้มตุ๋นที่พยายามรวยจากเงินของนักลงทุนที่ไม่ระวัง
นักลงทุนจะรู้ได้อย่างไรว่าบริษัทใดของแท้หรือเป็นแค่แผนการฉ้อโกงอีกรูปแบบ? รัฐบาลตระหนักว่าความเชื่อมั่นในตลาดการเงินจำเป็นสำหรับการเติบโตและรายได้ภาษี พวกเขาจึงคิดทางออก: บัญชีของทุกบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องได้รับการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ
นี่เป็นจุดกำเนิดของอุตสาหกรรมใหม่ และการเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัทตรวจสอบบัญชีเริ่มต้นขึ้น แต่รัฐบาลไม่รู้เลยว่าพวกเขาเพิ่งให้กำเนิดสัตว์ประหลาดที่จะเอาชนะพวกเขาในไม่ช้า
ตอนแรก ทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอย บริษัทอิสระมากมายเกิดขึ้นทุกที่และมุ่งเน้นเพียงการตรวจจับการฉ้อโกงและการรักษาบัญชีให้สะอาด แต่อย่างที่เห็นในไม่ช้า การตรวจสอบบริษัทครั้งเดียวและไม่ทำอะไรเลยสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีไม่ใช่ธุรกิจที่ร่ำรวยได้
บริษัทตรวจสอบบัญชีตระหนักอย่างรวดเร็วว่าพวกเขากำลังปล่อยเงินจำนวนมากให้ลอยวับไปกับตาและตัดสินใจใช้ความสามารถของพวกเขาในทางอื่นที่ทำกำไรได้มากกว่า ผู้ตรวจสอบบัญชีรู้กฎระเบียบและบริษัทที่พวกเขาทำงานให้เป็นอย่างดี จึงเริ่มช่วยลูกค้าลดภาษี
จากจุดนี้เอง บริการให้คำปรึกษาซึ่งเป็นสายธุรกิจใหม่ที่ทำเงินได้มากมายถูกเปิดตัว ท้ายที่สุด ทำไมบริษัทตรวจสอบบัญชีควรทำงานเพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงานกำกับดูแลเท่านั้น ในเมื่อพวกเขาสามารถเล่นได้ทั้งสองฝ่าย? นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ลึกลับซับซ้อนระหว่างผู้ตรวจสอบบัญชีกับบริษัทที่พวกเขาตรวจสอบ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน
มันจะนำไปสู่ผลกระทบต่อคนนับแสนและทำให้เงินหลายพันล้านดอลลาร์สูญหายไป นี่คือเรื่องราวของการที่ “Big 5” ซึ่งเกิดจากการควบรวมบริษัทตรวจสอบบัญชีระดับโลก กลายเป็น “Big 4” ผ่านเหตุการณ์อันร้ายแรงที่สั่นคลอนโลกธุรกิจ
เรื่องราวเริ่มขึ้นในปี 2000 ช่วงที่ธุรกิจกำลังพุ่งทะยาน Arthur Anderson หนึ่งใน Big 5 เรียกเก็บเงินจาก Enron Corporation มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์สำหรับค่าบริการตรวจสอบและให้คำปรึกษา Enron ถูกยกย่องว่าเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมเจ๋งที่สุดของอเมริกาและเป็นที่รักของ Wall Street
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อ Arthur Anderson เข้าไปพัวพันกับ Enron มากขึ้น อีกครั้งที่การให้คำปรึกษาทำกำไรได้มากมายจนพวกเขาทำเงินได้มากกว่าจากการให้คำปรึกษามากกว่าการตรวจสอบบัญชี และลำดับความสำคัญอันดับหนึ่งคือทำให้ลูกค้ามีความสุขและเรียกเก็บเงินต่อไป
Enron ตระหนักถึงอิทธิพลของตนและเริ่มกดดันผู้ตรวจสอบของ Anderson พวกเขาใช้กลยุทธ์สุดโหด เช่น การขังผู้ตรวจสอบของ Anderson ไว้ในห้องจนกว่าเขาจะออกจดหมายสนับสนุนเครดิตภาษีให้กับบริษัทของพวกเขา
ภายใต้แรงกดดันจาก Enron และเจ้านายที่ Anderson ผู้ตรวจสอบบัญชีพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน เมื่อธุรกรรมทางการเงินของ Enron เริ่มมีพิรุธ ในเดือนสิงหาคม 2001 แม้แต่ CEO ของ Enron อาจตระหนักว่าสิ่งต่างๆ ดำเนินมาถึงจุดพีคและได้ตัดสินใจลาออก
ในเดือนต่อมา เกิดความตื่นตระหนกที่ Anderson เครื่องย่อยกระดาษทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวันบนชั้น 37 ใกล้ Enron Tower โดยมีพนักงานที่ทำงานจนมือบาดจากกระดาษป้อนเข้าเครื่องตลอดทั้งคืน นี่ไม่ใช่เพียงการทำความสะอาดเอกสารธรรมดา แต่เป็นภารกิจกำจัดหลักฐานทั้งหมด รวมถึงอีเมลกว่า 30,000 ฉบับ
เป็นความพยายามอย่างสิ้นหวังในการปกปิดการมีส่วนร่วมของพวกเขาในการหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ความจริงปรากฏว่า Enron ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมอย่างที่อวดอ้าง แต่ใช้การตกแต่งบัญชีหรือพูดให้ตรงกว่านั้นคือการบัญชีที่ผิดกฎหมายเพื่อสร้างกำไรที่ไม่มีอยู่จริง
ไม่กี่เดือนต่อมา พวกเขายื่นล้มละลาย ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มหาศาล งานนับหมื่นตำแหน่งสูญหายไปและมูลค่าตลาดหลายพันล้านดอลลาร์ถูกทำลายเมื่อ Enron ล้มละลาย การล่มสลายของ Enron ยังพา Arthur Anderson ล่มไปด้วย เปลี่ยนจาก Big 5 ให้เหลือเพียง Big 4
มีเพียงแผนกให้คำปรึกษาของ Arthur Anderson ที่รอดและกลายมาเป็นบริษัทที่เรารู้จักในปัจจุบันในชื่อ Accenture แต่หลายคนคงคิดว่าอุตสาหกรรมจะได้เรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวครั้งนี้? แต่ต้องบอกว่า คุณคิดผิด!
แม้ว่าวิกฤต Enron จะสร้างความเสียหายอย่างมากและทำให้เงินพันล้านสูญหาย แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งที่ตามมาจะรุนแรงกว่า ก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงินหลายล้านล้านและความทุกข์ยากอย่างแพร่หลาย
เรื่องราวย้อนไปที่เดือนกันยายน 2006 ภายในสำนักงานของ Ernst and Young พนักงานหนุ่มคนหนึ่งกำลังตรวจสอบงบการเงินของ Lehman Brothers อย่างละเอียด โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าอีกเพียง 2 ปี ธนาคารแห่งนี้จะประสบกับการล่มสลายอย่างหายนะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มของวิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่
ในขณะนั้น ทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่เมื่อเขาศึกษาเอกสารลึกลงไป รูปแบบที่น่าสงสัยเริ่มปรากฏ เทคนิคทางบัญชีที่เรียกว่า “Repo 105” ซึ่งเปรียบเสมือนกลเม็ดทางการเงินปรากฏขึ้นอย่างสม่ำเสมอ จุดประสงค์หลักคือการจัดการงบการเงินของบริษัทและปกปิดสถานะทางการเงินที่แท้จริง
ความสงสัยเข้าครอบงำผู้ตรวจสอบหนุ่ม เขาตระหนักถึงความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Lehman จึงขอคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชาที่ Ernst and Young โดยสอบถามว่าสิ่งที่เขาพบสอดคล้องกับกฎระเบียบหรือไม่ น่าเสียดายที่ความกังวลของเขาไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง
ภายในเดือนมิถุนายน 2008 ธุรกรรม Repo 105 ที่ Lehman Brothers พุ่งทะยานจนแม้แต่รองหัวหน้าฝ่ายการเงินของธนาคารเองยังรู้สึกวิตกกังวล ในจุดนี้ จำนวนเงินที่เกี่ยวข้องอยู่ในระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เขาเข้าหาผู้บริหารระดับสูงของ Ernst and Young ด้วยความกังวล
แต่เมื่อเขากล่าวถึงตัวเลขที่น่าตกใจถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ผู้บริหารกลับยังคงรักษาสีหน้าเฉยเมย เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น Ernst and Young ลงนามในรายงานไตรมาสของ Lehman Brothers แม้จะรู้อย่างชัดเจนว่าตัวเลขของธนาคารถูกปรับแต่งไปถึง 50 พันล้านดอลลาร์
ในต้นปี 2008 Lehman ได้แสดงผลประกอบการทางการเงินที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท พร้อมจ่ายโบนัสมหาศาลให้ผู้บริหาร แต่เราทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น วันที่ 15 กันยายน 2008 Lehman Brothers ประกาศล้มละลาย ภาพพนักงานเดินออกจากตึกพร้อมกล่องสัมภาระในมือกลายเป็นภาพจำของวิกฤตการเงินโลก
การล่มสลายของ Lehman Brothers ส่งผลกระทบแบบโดมิโนไปทั่วโลก และกลายเป็นจุดสูงสุดของวิกฤตการเงินโลก จนถึงทุกวันนี้ Ernst and Young ยังคงปฏิเสธการกระทำผิดอย่างรุนแรง โดยเน้นย้ำว่าไม่มีศาลใดตัดสินว่าพวกเขามีความผิด
1
วิกฤตการเงินครั้งนั้นสร้างความเสียหายมากกว่า 9 ล้านล้านยูโรทั่วโลก ผู้เสียภาษีทั่วโลกต้องช่วยเหลือธนาคารหลายแห่งซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการตรวจสอบโดย Big 4 นั่นเอง โลกการเงินเต็มไปด้วยความล้มเหลวในการตรวจสอบของ Big 4 และด้วยเหตุผลที่ชัดเจน พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบอย่างเต็มที่
1
สิ่งที่ Big 4 เชี่ยวชาญจริงๆ คือการเป็นสถาปนิกของการหลีกเลี่ยงภาษีทั่วโลก หรือพูดให้ถูกต้องกว่าคือการหลบเลี่ยงภาษีที่กึ่งถูกกฎหมายสำหรับบริษัทที่พวกเขาทำงานให้ ด้วยรูปแบบนี้ Big 4 มอบแผนการหลีกเลี่ยงภาษีพร้อมใช้งาน พร้อมการรับประกันว่าผู้ตรวจสอบของพวกเขาจะให้ไฟเขียว
เป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลกำไรหลายพันล้านให้กับทั้งบริษัทลูกค้าและ Big 4 เอง ในขณะที่ปล่อยให้ผู้เสียภาษีรายย่อยแบกรับภาระแทน ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการจัดตั้งบริษัท Shell Company มักอยู่ในประเทศที่เป็นสวรรค์ภาษีที่มีการเก็บภาษีน้อยหรือไม่มีเลย
ในเอกสาร Panama Papers ซึ่งเปิดเผยแผนการทางภาษีของชนชั้นนำระดับโลกและบริษัทข้ามชาติ Big 4 ถูกกล่าวถึงมากกว่า 100,000 ครั้ง พวกเขามีบทบาทมากกว่ากลุ่มอื่นในการรักษาระบบสวรรค์ด้านภาษีทั่วโลก
แล้วทำไมรัฐบาลจะไม่ควรได้รับประโยชน์จากความรู้ของ Big 4 ด้วย? ในปี 2014 รัฐบาลออสเตรเลียตัดสินใจทำเช่นนั้น ในขณะนั้นพวกเขาคิดว่ากำลังทำการตัดสินใจที่ฉลาด แต่พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังเข้าถ้ำเสือ
รัฐบาลออสเตรเลียรู้สึกหงุดหงิดกับบริษัทข้ามชาติเช่น Google, Facebook และ Apple ที่โยกย้ายกำไรไปยังสวรรค์ภาษีและเลี่ยงการจ่ายภาษีในออสเตรเลีย พวกเขาหันไปหาผู้เชี่ยวชาญและปรึกษากับ PWC เพื่อช่วยสร้างนโยบายที่เป็นธรรมและปิดช่องโหว่
แต่อย่างที่เห็นในภายหลัง บริษัทที่ปรึกษามีแผนลับหลัง ในขณะที่ดูเหมือนจะช่วยรัฐบาลในการปฏิรูปกฎหมายภาษี PWC กลับวางแผนที่จะทำกำไรได้มากกว่าอย่างลับๆ พวกเขาปล่อยข้อมูลรัฐบาลที่เป็นความลับระดับสูงเกี่ยวกับการปฏิรูปที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับลูกค้าของตน
จากนั้น PWC เข้าหาบริษัทข้ามชาติเดียวกันที่การปฏิรูปมุ่งเป้าไปที่แผนที่จะช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงกฎหมายใหม่ เมื่อกฎหมายผ่านและมีผลบังคับใช้ บริษัทเหล่านั้นเตรียมพร้อมรับมือไปแล้ว และการปฏิรูปทั้งหมดก็ไม่ได้ผลแต่อย่างใด
ทำไมรัฐบาลจึงจ้างผู้อยู่เบื้องหลังการหลีกเลี่ยงภาษีทั่วโลกให้ช่วยแก้ปัญหาที่พวกเขาเองสร้างและทำกำไรอยู่? มันเหมือนการให้จิ้งจอกเฝ้าเล้าไก่! มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระอย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับบริษัทที่ปรึกษา วงจรที่เกิดขึ้นเป็นดังนี้: เมื่อรัฐบาลยังคงจ้างที่ปรึกษาเพราะขาดความเชี่ยวชาญภายใน พวกเขาจะยิ่งหยุดสร้างความรู้ของตัวเอง ซึ่งทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาที่ปรึกษาภายนอกมากขึ้น
ผลกระทบจากวงจรนี้กว้างมาก Big 4 ไม่ได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าของพวกเขาเสมอ พวกเขาล่อลวงเจ้าหน้าที่ที่มีทักษะของรัฐด้วยข้อเสนอการเงินสุดเทพ ในปี 2018 นักสืบสวนภาษีที่มีชื่อเสียงที่สุดสองคนในเยอรมนีเปลี่ยนฝั่งโดยเข้าร่วม Deloitte
ปัจจุบัน Big 4 มีอยู่ทุกหนทุกแห่งและมีอำนาจกว่าที่เคย จำนวนเงินมหาศาลที่พวกเขาดูแลดูเหมือนจะคุ้มครองพวกเขาจากการควบคุมและการตรวจสอบอย่างจริงจัง แต่เมื่อพิจารณาผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลก มันทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความยุติธรรมของระบบปัจจุบัน
ยักษ์ใหญ่ด้านการให้คำปรึกษาเหล่านี้ช่วยสร้างช่องโหว่ที่ทำให้รัฐบาลทั่วโลกสูญเสียรายได้ราว 1 ล้านล้านดอลลาร์ทุกปี ในขณะที่รายได้รวมของพวกเขาเองมีมูลค่าไม่ถึง 200 พันล้านดอลลาร์ ความไม่สมดุลนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบที่ต้องได้รับการแก้ไข
Big 4 – PwC, Deloitte, Ernst & Young, และ KPMG – เป็นมากกว่าบริษัทตรวจสอบบัญชี พวกเขาเป็นสถาบันทางการเงินที่ทรงอิทธิพลในโลกสมัยใหม่ และเหมือนสถาบันการเงินอื่นๆ พวกเขาควรอยู่ภายใต้การตรวจสอบ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบต่อประชาชน
ขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่ซับซ้อนมากขึ้น บทบาทของผู้ตรวจสอบและที่ปรึกษาจะยิ่งสำคัญขึ้น อนาคตของเศรษฐกิจโลกขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเหล่านี้ และถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ไขปัญหามันอย่างจริงจัง ก่อนที่วิกฤตการเงินโลกครั้งต่อไปมันจะวันลูปกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง
References :
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา