เรื่องราวเริ่มขึ้นในปี 2000 ช่วงที่ธุรกิจกำลังพุ่งทะยาน Arthur Anderson หนึ่งใน Big 5 เรียกเก็บเงินจาก Enron Corporation มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์สำหรับค่าบริการตรวจสอบและให้คำปรึกษา Enron ถูกยกย่องว่าเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมเจ๋งที่สุดของอเมริกาและเป็นที่รักของ Wall Street
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อ Arthur Anderson เข้าไปพัวพันกับ Enron มากขึ้น อีกครั้งที่การให้คำปรึกษาทำกำไรได้มากมายจนพวกเขาทำเงินได้มากกว่าจากการให้คำปรึกษามากกว่าการตรวจสอบบัญชี และลำดับความสำคัญอันดับหนึ่งคือทำให้ลูกค้ามีความสุขและเรียกเก็บเงินต่อไป
Enron ตระหนักถึงอิทธิพลของตนและเริ่มกดดันผู้ตรวจสอบของ Anderson พวกเขาใช้กลยุทธ์สุดโหด เช่น การขังผู้ตรวจสอบของ Anderson ไว้ในห้องจนกว่าเขาจะออกจดหมายสนับสนุนเครดิตภาษีให้กับบริษัทของพวกเขา
ภายใต้แรงกดดันจาก Enron และเจ้านายที่ Anderson ผู้ตรวจสอบบัญชีพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน เมื่อธุรกรรมทางการเงินของ Enron เริ่มมีพิรุธ ในเดือนสิงหาคม 2001 แม้แต่ CEO ของ Enron อาจตระหนักว่าสิ่งต่างๆ ดำเนินมาถึงจุดพีคและได้ตัดสินใจลาออก
ไม่กี่เดือนต่อมา พวกเขายื่นล้มละลาย ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มหาศาล งานนับหมื่นตำแหน่งสูญหายไปและมูลค่าตลาดหลายพันล้านดอลลาร์ถูกทำลายเมื่อ Enron ล้มละลาย การล่มสลายของ Enron ยังพา Arthur Anderson ล่มไปด้วย เปลี่ยนจาก Big 5 ให้เหลือเพียง Big 4
มีเพียงแผนกให้คำปรึกษาของ Arthur Anderson ที่รอดและกลายมาเป็นบริษัทที่เรารู้จักในปัจจุบันในชื่อ Accenture แต่หลายคนคงคิดว่าอุตสาหกรรมจะได้เรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวครั้งนี้? แต่ต้องบอกว่า คุณคิดผิด!
เรื่องราวย้อนไปที่เดือนกันยายน 2006 ภายในสำนักงานของ Ernst and Young พนักงานหนุ่มคนหนึ่งกำลังตรวจสอบงบการเงินของ Lehman Brothers อย่างละเอียด โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าอีกเพียง 2 ปี ธนาคารแห่งนี้จะประสบกับการล่มสลายอย่างหายนะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มของวิกฤตการเงินโลกครั้งใหญ่
ความสงสัยเข้าครอบงำผู้ตรวจสอบหนุ่ม เขาตระหนักถึงความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Lehman จึงขอคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชาที่ Ernst and Young โดยสอบถามว่าสิ่งที่เขาพบสอดคล้องกับกฎระเบียบหรือไม่ น่าเสียดายที่ความกังวลของเขาไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง
ภายในเดือนมิถุนายน 2008 ธุรกรรม Repo 105 ที่ Lehman Brothers พุ่งทะยานจนแม้แต่รองหัวหน้าฝ่ายการเงินของธนาคารเองยังรู้สึกวิตกกังวล ในจุดนี้ จำนวนเงินที่เกี่ยวข้องอยู่ในระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เขาเข้าหาผู้บริหารระดับสูงของ Ernst and Young ด้วยความกังวล
แต่เมื่อเขากล่าวถึงตัวเลขที่น่าตกใจถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ผู้บริหารกลับยังคงรักษาสีหน้าเฉยเมย เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น Ernst and Young ลงนามในรายงานไตรมาสของ Lehman Brothers แม้จะรู้อย่างชัดเจนว่าตัวเลขของธนาคารถูกปรับแต่งไปถึง 50 พันล้านดอลลาร์
การล่มสลายของ Lehman Brothers ส่งผลกระทบแบบโดมิโนไปทั่วโลก และกลายเป็นจุดสูงสุดของวิกฤตการเงินโลก จนถึงทุกวันนี้ Ernst and Young ยังคงปฏิเสธการกระทำผิดอย่างรุนแรง โดยเน้นย้ำว่าไม่มีศาลใดตัดสินว่าพวกเขามีความผิด
1
วิกฤตการเงินครั้งนั้นสร้างความเสียหายมากกว่า 9 ล้านล้านยูโรทั่วโลก ผู้เสียภาษีทั่วโลกต้องช่วยเหลือธนาคารหลายแห่งซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการตรวจสอบโดย Big 4 นั่นเอง โลกการเงินเต็มไปด้วยความล้มเหลวในการตรวจสอบของ Big 4 และด้วยเหตุผลที่ชัดเจน พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบอย่างเต็มที่
1
สิ่งที่ Big 4 เชี่ยวชาญจริงๆ คือการเป็นสถาปนิกของการหลีกเลี่ยงภาษีทั่วโลก หรือพูดให้ถูกต้องกว่าคือการหลบเลี่ยงภาษีที่กึ่งถูกกฎหมายสำหรับบริษัทที่พวกเขาทำงานให้ ด้วยรูปแบบนี้ Big 4 มอบแผนการหลีกเลี่ยงภาษีพร้อมใช้งาน พร้อมการรับประกันว่าผู้ตรวจสอบของพวกเขาจะให้ไฟเขียว
เป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลกำไรหลายพันล้านให้กับทั้งบริษัทลูกค้าและ Big 4 เอง ในขณะที่ปล่อยให้ผู้เสียภาษีรายย่อยแบกรับภาระแทน ตัวอย่างที่โดดเด่นคือการจัดตั้งบริษัท Shell Company มักอยู่ในประเทศที่เป็นสวรรค์ภาษีที่มีการเก็บภาษีน้อยหรือไม่มีเลย
ในเอกสาร Panama Papers ซึ่งเปิดเผยแผนการทางภาษีของชนชั้นนำระดับโลกและบริษัทข้ามชาติ Big 4 ถูกกล่าวถึงมากกว่า 100,000 ครั้ง พวกเขามีบทบาทมากกว่ากลุ่มอื่นในการรักษาระบบสวรรค์ด้านภาษีทั่วโลก
แล้วทำไมรัฐบาลจะไม่ควรได้รับประโยชน์จากความรู้ของ Big 4 ด้วย? ในปี 2014 รัฐบาลออสเตรเลียตัดสินใจทำเช่นนั้น ในขณะนั้นพวกเขาคิดว่ากำลังทำการตัดสินใจที่ฉลาด แต่พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังเข้าถ้ำเสือ
รัฐบาลออสเตรเลียรู้สึกหงุดหงิดกับบริษัทข้ามชาติเช่น Google, Facebook และ Apple ที่โยกย้ายกำไรไปยังสวรรค์ภาษีและเลี่ยงการจ่ายภาษีในออสเตรเลีย พวกเขาหันไปหาผู้เชี่ยวชาญและปรึกษากับ PWC เพื่อช่วยสร้างนโยบายที่เป็นธรรมและปิดช่องโหว่