7 เม.ย. เวลา 03:00 • สุขภาพ

จากยาลดไขมัน...สู่ความหวังใหม่ เรื่องราวการค้นพบความเชื่อมโยงที่น่าทึ่ง

วันนี้ผมอยากจะพาทุกท่านย้อนเวลาไปสำรวจเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างยาที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง สแตติน กับสุขภาพของตับ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ค่อยๆ เปิดเผยออกมาจากการสังเกต สู่การศึกษา และกลายมาเป็นความหวังใหม่ในวงการแพทย์ครับ
เรื่องราวเริ่มต้นจากที่เราทราบกันดีว่า สแตติน คือกลุ่มยาสำคัญที่แพทย์สั่งจ่ายเพื่อช่วยลดระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมัน LDL หรือที่เรียกกันว่า "ไขมันเลว" ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด การใช้สแตตินจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงต่อหัวใจและสมอง
แต่แล้ว...จุดประกายความสงสัยแรกก็เริ่มขึ้น อาจมาจากการสังเกตของแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยหลายราย พบว่าผู้ป่วยบางคนที่ได้รับยาสแตตินเพื่อลดไขมัน กลับมีอาการเกี่ยวกับตับที่ดีขึ้นอย่างไม่คาดคิด หรืออาจมาจากการศึกษาในห้องทดลองที่พบว่า สแตตินมีคุณสมบัติบางอย่างที่อาจส่งผลดีต่อเซลล์ตับ เช่น ฤทธิ์ในการลดการอักเสบ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญที่ทำให้โรคตับแย่ลง
เมื่อ "เมล็ดพันธุ์" แห่งความสงสัยนี้ถูกหว่านลง นักวิจัยและแพทย์ทั่วโลกก็เริ่มให้ความสนใจและทำการศึกษาในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น มีการตั้งสมมติฐานต่างๆ นานา เช่น สแตตินอาจช่วยลดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะไขมันพอกตับ หรืออาจช่วยลดความดันในหลอดเลือดดำที่ตับ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
และแล้ว...งานวิจัยสำคัญชิ้นหนึ่งก็ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร Clinical Gastroenterology and Hepatology (ซึ่งเป็นข้อมูลหลักที่เราจะพูดถึงในวันนี้) งานวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยจำนวนมากที่มี ภาวะตับแข็ง (Noncirrhotic Chronic Liver Disease) ซึ่งเป็นภาวะที่ตับยังไม่ถึงขั้นเกิดแผลเป็นถาวร แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้นได้
สิ่งที่นักวิจัยค้นพบนั้นน่าทึ่งมากครับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาสแตตินกับกลุ่มที่ไม่ใช้ พบว่า กลุ่มที่ใช้ยาสแตตินมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะตับแข็ง (Cirrhosis) น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ราวกับว่าสแตตินได้เข้ามาเป็น "องครักษ์พิทักษ์ตับ" ช่วยชะลอการลุกลามของโรค
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผมขออนุญาตเล่าถึงตัวเลขสำคัญจากงานวิจัยนี้ครับ นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ใช้ยาสแตตินมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะตับแข็งลดลงถึงประมาณ 39% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ใช้ โดยมี อัตราส่วนความเสี่ยง (Hazard Ratio หรือ HR) อยู่ที่ประมาณ 0.61 (95% CI: 0.49-0.77) ซึ่งตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ
เท่านั้นยังไม่พอครับ นักวิจัยยังพบข้อมูลที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การใช้ยาสแตตินยังมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของการเกิด มะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma) อีกด้วย โดยมีอัตราส่วนความเสี่ยงอยู่ที่ประมาณ 0.65 (95% CI: 0.48-0.89) ซึ่งเป็นเหมือน "โบนัส" ที่สแตตินอาจมอบให้กับผู้ป่วยกลุ่มนี้
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้อมูลจากงานวิจัยนี้ก็จุดประกายให้เกิดการศึกษาเพิ่มเติมจากนักวิจัยทั่วโลก มีการนำข้อมูลจากงานวิจัยอื่นๆ มาวิเคราะห์และเปรียบเทียบ เพื่อยืนยันและขยายผลการค้นพบนี้ ตัวอย่างเช่น มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Hepatology ซึ่งศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) และพบว่าการใช้สแตตินอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะตับอักเสบรุนแรงและการเกิดพังผืดในตับได้ ซึ่งเป็นการสนับสนุนแนวคิดที่ว่า สแตตินอาจมีบทบาทในการดูแลสุขภาพตับในวงกว้างขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในฐานะเภสัชกร ผมขอย้ำเตือนทุกท่านว่า เรื่องราวนี้ยังอยู่ในระหว่างการ "เขียนบทต่อไป" ข้อมูลที่เรามีในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากการศึกษาแบบสังเกต ซึ่งเป็นการดูข้อมูลของผู้ป่วยที่ได้รับยาอยู่แล้วและเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ใช้ยา ทำให้เรายังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า สแตตินเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้ความเสี่ยงของโรคตับลดลง อาจมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่เรายังไม่ทราบ
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ การทำความเข้าใจว่า ข้อมูลเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดีและเป็นแนวทางในการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต การใช้ยาสแตตินในผู้ป่วยโรคตับยังไม่ใช่แนวทางการรักษามาตรฐาน และการตัดสินใจว่าจะใช้ยาหรือไม่นั้น ควรอยู่ภายใต้การพิจารณาและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
เรื่องราวการค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างสแตตินกับสุขภาพตับนี้ เปรียบเสมือนการเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด แต่ทุกก้าวที่เราเดินไปข้างหน้าก็เต็มไปด้วยความหวังและโอกาสใหม่ๆ สำหรับผู้ป่วยโรคตับ สำหรับท่านที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคตับ หรือกำลังรักษาโรคตับอยู่ การพูดคุยกับแพทย์ถึงข้อมูลใหม่ๆ เหล่านี้ อาจเป็นประโยชน์ในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุดครับ
การค้นพบในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ยาที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป อาจมีคุณสมบัติที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย การศึกษาและวิจัยทางการแพทย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเปิดเผยความลับเหล่านี้ และนำไปสู่การพัฒนาการรักษาที่ดีขึ้นสำหรับผู้ป่วยในอนาคต
แหล่งอ้างอิง:
Sharma, R., Simon, T. G., Hagström, H., Lochhead, P., Roelstraete, B., Söderling, J., ... & Ludvigsson, J. F. (2024). Statins Are Associated With a Decreased Risk of Severe Liver Disease in Individuals With Noncirrhotic Chronic Liver Disease. Clinical Gastroenterology and Hepatology, 22(4), 749-759.e18.1
โฆษณา