2 เม.ย. เวลา 03:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ งานเข้า! เปิดโผ 9 ชาติเอเชียใน "บัญชีดำ" ทรัมป์ ล็อกเป้ากำแพงภาษีรอบใหม่! 📜💥

มาอัปเดตเรื่องที่อาจจะกระทบเศรษฐกิจเอเชียและแน่นอนว่ารวมถึงบ้านเราด้วย นั่นคือ นโยบายภาษีแบบตอบโต้ ค่ะ ซึ่งจะเป็นนโยบายที่ท้าทายโมเดลเศรษฐกิจของเอเชียที่เน้นการส่งออกไปสหรัฐฯ มานานหลายสิบปีเลยทีเดียวค่ะ
🤔 “ภาษีตอบโต้" คืออะไร? เข้าใจง่ายๆ แบบนี้นะคะ
หลักการของทรัมป์คือ ถ้าประเทศไหนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ สูง หรือ มี "ดุลการค้าเกินดุล" (Trade Surplus) กับสหรัฐฯ เยอะๆ (หมายถึง ขายของให้สหรัฐฯ มากกว่าซื้อของจากสหรัฐฯ เยอะ) สหรัฐฯ ก็จะตอบโต้ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากประเทศนั้นๆ เช่นกันค่ะ เหมือนเป็นการเอาคืนแบบ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ทางการค้านั่นเอง
🌏 เอเชียโดนเต็มๆ?
รอบนี้ ทรัมป์ไม่ได้เล็งแค่จีนเหมือนรอบก่อนนะคะ แต่มีการพูดถึง เวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และอินเดีย ด้วยว่าเป็นประเทศที่อาจจะเข้าข่ายต้องโดนภาษีตอบโต้
มีข้อมูลจากทีมงานของทรัมป์ (คุณ Scott Bessent รัฐมนตรีคลัง) บอกว่าอาจจะมีการประกาศใช้ภาษีนี้กับกลุ่ม "Dirty 15" หรือ 15 ประเทศเป้าหมาย ที่มีการค้าและกำแพงภาษีกับสหรัฐฯ ในระดับสูง ซึ่งจะเริ่มใช้ในวันที่ 2 เมษายน แม้จะไม่ได้ระบุชื่อประเทศชัดๆ
แต่ Bloomberg Economics วิเคราะห์ว่า ใน 15 ประเทศนี้ มีถึง 9 ประเทศอยู่ในเอเชีย‼️ ซึ่งประเทศเหล่านี้รวมกันแล้วเป็นสาเหตุของการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ถึง 3 ใน 4 ส่วนเลยทีเดียวค่ะ ดังนั้น นโยบายนี้ดูเหมือนจะกระทบเศรษฐกิจเอเชียที่มีมูลค่ารวมกว่า 41 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นพิเศษค่ะ
1
👉🏻 ตัวอย่างที่เห็นชัดๆ:
* จีน: โดนภาษีเพิ่มไปแล้ว 20% ตั้งแต่ทรัมป์รับตำแหน่ง
* เหล็ก: ภาษี 25% กระทบผู้ผลิตในเอเชียแน่นอน เพราะใน 10 ประเทศที่ส่งออกเหล็กไปสหรัฐฯ มากที่สุด มีถึง 6 ประเทศอยู่ในเอเชีย
* รถยนต์: ภาษี 25% ที่เพิ่งประกาศไป ก็จะกระทบกำไรของค่ายรถยนต์อย่าง Hyundai (เกาหลีใต้) และ Toyota (ญี่ปุ่น) แน่นอน
ที่น่ากังวลคือ ทรัมป์ดูไม่ค่อยสนใจว่าประเทศไหนเป็นพันธมิตร และดูพร้อมจะยอมรับผลกระทบทางเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อผลักดันนโยบายนี้ โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า "ไม่แคร์เลย" ถ้ารถยนต์ต่างชาติจะขึ้นราคาเพราะภาษีที่เขาตั้ง
‼️กระทบโครงสร้างเศรษฐกิจเอเชีย?
ผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณ Roland Rajah จาก Lowy Institute มองว่า นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาระยะสั้นเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้งปี 1998 หรือวิกฤตการเงินโลกปี 2008 นะคะ แต่มันเป็น "Structural Shock" หรือ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ ที่กระทบกับ "โมเดลการเติบโตที่พึ่งพาการส่งออก" (Export-oriented Development) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เอเชียร่ำรวยขึ้นมา
นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ประเมินว่า ภาษีตอบโต้นี้ บวกกับภาษีอื่นๆ ที่ประกาศไปแล้ว อาจจะ ฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศในเอเชียได้ถึง 1.3% เลยทีเดียวค่ะ เพราะเอเชียพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อมค่อนข้างมาก นอกจากนี้ข้อมูลจาก Morgan Stanley ก็ยังชี้อีกว่า หลังยุคโควิด ประเทศในเอเชีย (ไม่รวมจีน) ยิ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากขึ้นไปอีก‼️
🙌🏻 เอเชียจะรับมือยังไง?
ตอนนี้ ดูเหมือนว่าประเทศในเอเชียส่วนใหญ่จะพยายาม "เล่นตามน้ำ" ไปก่อนค่ะ เช่น เดินทางไปวอชิงตันเพื่อเจรจา สัญญาว่าจะซื้อสินค้าอเมริกันมากขึ้น หรือประกาศลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มเติม อย่าง Hyundai ก็ประกาศแผนลงทุนเพิ่มถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ
คุณ Wendy Cutler จาก Asia Society Policy Institute (อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ) บอกว่า ทุกประเทศในเอเชียกำลังพยายามหาทางรับมือกับทรัมป์ แต่ส่วนใหญ่ ลังเลที่จะตอบโต้กลับ เพราะกลัวจะโดนขึ้นภาษีหนักกว่าเดิม เหมือนที่ทรัมป์เคยขู่แคนาดามาแล้ว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg Economics ก็มองเช่นเดียวกันว่า เอเชียคงเน้นการเจรจาต่อรองและหาทางลดภาษี มากกว่าจะตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
3
🔻 ผลกระทบอื่นๆ ที่น่ากังวล:
1
* การลงทุนลดลง: บริษัทต่างๆ อาจชะลอการจ้างงานและการขยายกิจการในเอเชีย
* ตลาดเงินทุนผันผวน: มีสัญญาณว่าเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ (รวมถึงเอเชีย) ช่วงต้นปีอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016
* ธนาคารกลางอาจต้องลดดอกเบี้ย: เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็อาจไม่สามารถชดเชยผลกระทบจากกำแพงภาษีได้ทั้งหมด (ตามมุมมองของ Morgan Stanley)
* สัญญาณเตือน: ข้อมูลภาคการผลิตเดือนกุมภาพันธ์ พบว่ายอดสั่งซื้อเพื่อส่งออกใหม่ลดลงในอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นประเทศที่ได้ประโยชน์จากสงครามการค้ารอบก่อน
🎯 ทางออกระยะยาวของเอเชีย?
1
ผู้นำเอเชียก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ เริ่มมีการปรับตัวเพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และหันมาเน้นเศรษฐกิจในประเทศและในภูมิภาคมากขึ้น
* กระจายความเสี่ยง: ไม่ใส่ไข่ทุกใบไว้ในตะกร้าเดียว พยายามหาตลาดใหม่ๆ
* กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ: ส่งเสริมการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
* กระชับความสัมพันธ์ในเอเชีย: ส่งเสริมการค้าภายในภูมิภาคมากขึ้น มีข้อตกลงการค้าเสรีใหญ่ๆ อย่าง RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นตัวช่วยสำคัญ
* จีน: เน้นกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เปิดรับบริษัทต่างชาติ และต่อต้านนโยบายกีดกันทางการค้า
ทั้งนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกอยู่บ้างเหมือนกันนะคะ คุณ Louis Kuijs จาก S&P Global Ratings มองว่า กำแพงภาษีอาจจะแค่ "บีบ" (Squeeze) ไม่ถึงกับ "บีบคอ" (Choke) การเติบโตของเอเชีย เพราะการหันมาเน้นตลาดในประเทศและในภูมิภาคอาจช่วยลดผลกระทบได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่า จีนก็ไม่สามารถเข้ามาทดแทนความต้องการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ ได้ทั้งหมด (เห็นได้จากตัวเลขนำเข้าสินค้าจากเอเชียของจีนที่ลดลง)
⚠️ ประเด็นสุดท้ายที่น่าคิด
คุณ Inu Manak จาก Council on Foreign Relations มองว่า ผลกระทบที่อาจจะยั่งยืนที่สุด อาจไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นการที่นโยบายของสหรัฐฯ บีบให้ประเทศต่างๆ ต้อง "เลือกข้าง" ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ในด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งในระยะยาว จีนอาจจะเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ได้ค่ะ
2
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อนที่ต้องติดตามกันยาวๆ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ทั่วโลกแน่นอน การเข้าใจสถานการณ์และเตรียมพร้อมรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ ไว้มีอัปเดตอะไรใหม่ๆ แอดบิวตี้จะรีบมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ!
โฆษณา