3 เม.ย. เวลา 06:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ขีดเส้นใต้ธุรกรรมโลก: เมื่อภาษีศุลกากรกลายเป็นตัวละครสำคัญบนเวทีเศรษฐกิจ

verified by Kritsada S.
เช้านี้ผมนั่งจิบกาแฟร้อนๆ พลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลับเป็นตัวละครลับที่กำหนดชะตาชีวิตของเราทุกคน นั้นคือ ภาษีศุลกากร
ภาษีที่ว่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนใบเสร็จหรือต้นทุนที่ถูกซ่อนไว้ในราคาสินค้านำเข้า แต่มันคือเครื่องมือมหัศจรรย์ที่รัฐบาลใช้เติมเต็มกระเป๋าคลังของประเทศ โดยมีเอกลักษณ์พิเศษตรงที่มันสามารถส่งคลื่นกระเพื่อมไปถึงทั้งผู้ผลิตในต่างแดนและผู้บริโภคในบ้านเรา
เรย์ ดาลิโอ มหาเศรษฐีนักลงทุนผู้เป็นเหมือนพ่อมดแห่งวงการการเงิน เคยเปิดใจเล่าให้ฟังว่า ภาษีศุลกากรนี้เปรียบเสมือนการเต้นรำระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค ใครจะแบกรับภาระมากน้อยขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นของราคา ไม่ต่างจากตัวละครในนวนิยายที่ต้องปรับตัวตามสถานการณ์
แต่นี่คือความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ แม้รัฐบาลจะยิ้มกว้างเมื่อเงินหลั่งไหลเข้าคลัง แต่โลกกลับต้องสูญเสียประสิทธิภาพการผลิตไปพร้อมกัน เสมือนเรือที่แล่นช้าลงเพราะถูกถ่วงด้วยสมอหนักอึ้ง การปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศจากคู่แข่งต่างชาติอาจฟังดูหอมหวาน แต่มันกลับกลายเป็นยาพิษที่ค่อยๆ บั่นทอนนวัตกรรมและผลผลิต
นี่คือเกมของการแลกเปลี่ยนที่เราทุกคนต้องเผชิญในโลกการค้าที่ไร้พรมแดน...
6 ด้านมืดและสว่างของภาษีศุลกากร: เกมการค้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ผมยังคงจมอยู่กับความคิดเรื่องภาษีศุลกากร และต้องยอมรับว่า มันซับซ้อนเหมือนตัวละครในนวนิยายสายลับที่คุณไม่มีวันรู้ว่าเขาจะพลิกบทบาทเมื่อไหร่!
เรย์ ดาลิโอ ได้เจาะลึกให้เห็นภาพชัดเจนของผลกระทบ 6 ประการที่ภาษีศุลกากรสร้างให้โลกของเรา:
  • กระเป๋าคลังอิ่มหนำ ภาษีนี้เป็นเหมือนเครื่องพิมพ์เงินของรัฐบาล ที่หยิบเงินจากกระเป๋าทั้งผู้ผลิตต่างชาติและผู้บริโภคในประเทศ โดยใครจะจ่ายมากกว่ากัน? ขึ้นอยู่กับว่าใครยืดหยุ่นน้อยกว่า เหมือนเกมช่วงชิงอำนาจที่ไม่มีใครยอมอ่อนข้อก่อน
  • ทำร้ายประสิทธิภาพโลก เมื่อกำแพงภาษีถูกสร้างขึ้น ทรัพยากรโลกก็ไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างอิสระ เหมือนแม่น้ำที่ถูกเขื่อนกั้น น้ำจะไม่มีวันไหลไปยังที่ที่ควรจะเป็น
  • โลกเผชิญกับสองหน้า ประเทศที่ถูกเก็บภาษีจะเจอภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในขณะที่ประเทศที่เก็บภาษีกลับต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่พุ่งสูง เหมือนกับว่าฝ่ายหนึ่งหนาวสั่น ขณะที่อีกฝ่ายกำลังถูกเผาไหม้
  • การปกป้องที่มีราคา บริษัทในประเทศอาจได้รับการปกป้อง แต่เหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงในห้องปลอดเชื้อ พวกเขาอาจมีชีวิตรอด แต่จะไม่มีวันเติบโตแข็งแรงหรือรู้จักการปรับตัว
  • เกราะป้องกันในยามสงคราม ในช่วงขัดแย้ง ภาษีศุลกากรกลายเป็นดั่งเกราะคุ้มครอง ให้ประเทศรักษาความสามารถในการผลิตสินค้าเชิงกลยุทธ์ไว้ได้ เพราะไม่มีใครอยากพึ่งพาศัตรูในยามคับขัน
  • เส้นทางสู่การพึ่งพาตนเอง ภาษีนี้สามารถลดการพึ่งพาทั้งสินค้าและเงินทุนจากต่างชาติ ซึ่งในโลกที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปราะบางเหมือนเส้นด้าย นี่อาจเป็นประกันชีวิตที่คุ้มค่าที่สุด
ในเกมการค้าระดับโลกนี้ ไม่มีทางเลือกที่สมบูรณ์แบบ มีแต่การเลือกว่าจะเสียสละอะไรเพื่อให้ได้อะไรมา... แต่ใครจะเป็นผู้กำหนดว่าการเสียสละนั้นคุ้มค่า
เมื่อภาษีศุลกากรบีบเค้นเศรษฐกิจโลก: ภาพเศรษฐกิจที่ติดกับดักไม่ไปไหน
ผมนั่งติดตามข้อมูลเศรษฐกิจโลก มันชวนให้นึกถึงเรื่องราวของพายุที่ก่อตัวอย่างเงียบๆ ภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน หรือที่เรียกกันว่า "stagflation" คือตัวร้ายที่เรย์ ดาลิโอ มองว่าเป็นลูกระเบิดเวลาที่ภาษีศุลกากรจุดชนวน
ภาษีศุลกากรไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่มันคือตัวปั่นป่วนที่สร้างความวุ่นวายในระบบเศรษฐกิจโลก จินตนาการถึงบ้านหลังหนึ่งที่ห้องหนึ่งร้อนจนแทบละลาย ขณะที่อีกห้องกลับหนาวเหน็บ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโลกเมื่อภาษีศุลกากรเข้ามาในเกม
สำหรับประเทศผู้ส่งออก ภาพที่เห็นคือความหดหู่ ตลาดหดตัว คำสั่งซื้อลดลง โรงงานเงียบเหงา คนงานตกงาน เหมือนเมืองที่ถูกทิ้งร้าง ภาวะเงินฝืดคืบคลานเข้ามาเมื่อประตูสู่ตลาดต่างประเทศถูกปิดลงด้วยกำแพงภาษี
ส่วนประเทศผู้นำเข้า กลับเผชิญกับปัญหาตรงข้าม ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่า เมื่อต้นทุนภาษีถูกผลักไปยังผู้บริโภค ค่าครองชีพพุ่งทะยาน เงินในกระเป๋าเหมือนระเหยหายไปกับอากาศ
ความพิลึกของภาวะนี้คือการที่เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความท้าทายสองด้านที่ขัดแย้งกันเอง บางส่วนของโลกต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา ขณะที่อีกส่วนกำลังพยายามควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งสูง เหมือนแพทย์ที่ต้องรักษาคนไข้คนเดียวที่มีทั้งไข้สูงและร่างกายเย็นเฉียบในเวลาเดียวกัน
ธนาคารกลางทั่วโลกจึงอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องออกแบบนโยบายการเงินที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกกลายเป็นเหมือนผ้าห่มที่ปะติดปะต่อ บางส่วนเติบโต บางส่วนหดตัว บางส่วนทรงตัว
สุดท้ายแล้ว นี่คือราคาที่ทุกคนต้องจ่ายเมื่อการค้าเสรีถูกบิดเบือน โลกที่ติดอยู่ในกับดักระหว่างความถดถอยและเงินเฟ้อ จุดที่เศรษฐกิจเหมือนติดอยู่ในพื้นที่อับจน ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าหรือถอยกลับได้...
ระหว่างคุ้มครองและประสิทธิภาพ: การเต้นรำบนเส้นลวด
ผมนั่งครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่เคยมีกับผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาพูดถึงความขัดแย้งในใจเรื่องการเรียกร้องให้รัฐปกป้องธุรกิจของเขาจากสินค้านำเข้าราคาถูก ในขณะที่ลึกๆ เขารู้ว่ามันอาจทำให้เขาขาดแรงกระตุ้นให้พัฒนา
เรย์ ดาลิโอ ชี้ให้เห็นถึงสมการที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างแม่นยำ ภาษีศุลกากรเหมือนร่มกันฝนที่ปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศจากพายุแห่งการแข่งขันต่างชาติ แต่ร่มนี้มีราคาที่สูงลิบ ประสิทธิภาพของเศรษฐกิจโลกและความก้าวหน้าที่อาจต้องสูญเสียไป
เมื่อบริษัทอยู่ใต้ร่มคุ้มครอง พวกเขาไม่ต่างจากนกในกรง อยู่รอดได้ แต่อาจไม่มีวันได้เรียนรู้วิธีบินในท้องฟ้าเปิดกว้าง ความสามารถในการแข่งขันของพวกเขาในตลาดบ้านเกิดอาจเพิ่มขึ้น แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะพื้นที่แข่งขันถูกบิดเบือนด้วยกำแพงภาษี
กระนั้น ดาลิโอก็เตือนว่าการปกป้องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย รัฐบาลต้องบริหารจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างแยบยลเพื่อรักษาความมั่นคงของอุปสงค์ในประเทศ ไม่ต่างจากการปั่นจักรยานบนเส้นลวด หากความต้องการภายในประเทศไม่มากพอ แม้แต่อุตสาหกรรมที่ได้รับการคุ้มครองก็อาจล้มครืนท่ามกลางพายุเศรษฐกิจชะงักงัน
ในโลกที่ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจทวีความเข้มข้น ดาลิโอมองว่าภาษีศุลกากรอาจกลายเป็นความจำเป็น เหมือนประเทศต้องเลือกระหว่างการพึ่งพาตนเองหรือประสิทธิภาพ ในยามที่ความมั่นคงของชาติอยู่บนเส้นด้าย การสูญเสียประสิทธิภาพบางส่วนอาจเป็นราคาที่คุ้มค่า
นี่คือสมการยากที่ผู้กำหนดนโยบายต้องเผชิญ จะเลือกปกป้องงานและอุตสาหกรรมในวันนี้ หรือจะเลือกการเติบโตและนวัตกรรมที่ยั่งยืนในวันหน้า? เลือกความมั่นคงระยะสั้น หรือเลือกความมั่งคั่งในระยะยาว?
ในท้ายที่สุด การค้าโลกไม่ใช่เกมที่มีผู้ชนะเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการเจรจาต่อรองที่ไม่มีวันจบสิ้น ระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและการรักษาความก้าวหน้าของมนุษยชาติ...
เมื่อภาษีศุลกากรปลุกคลื่นระลอกที่สอง: เกมโดมิโนที่ไม่มีใครคาดคิด
เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมความคิดที่ว่า เรื่องภาษีศุลกากรนั้นซับซ้อนยิ่งกว่าที่เห็น เหมือนโยนก้อนหินลงไปในทะเลสาบ – คลื่นระลอกแรกอาจเห็นได้ชัด แต่คลื่นระลอกที่สองและสามต่างหากที่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงลึกซึ้ง
เรย์ ดาลิโอ ฉายภาพให้เห็นถึงปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นหลังจากการประกาศใช้ภาษีศุลกากร ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญสี่ประการที่เหมือนเฟืองในนาฬิกาขนาดใหญ่:
  • การตอบโต้ของประเทศที่ถูกเก็บภาษี เมื่อคุณตบมือข้างหนึ่ง อีกข้างก็มักจะตบกลับ เมื่อประเทศหนึ่งถูกเก็บภาษี พวกเขามักตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีกลับ ก่อให้เกิดสงครามการค้าที่ไม่มีผู้ชนะ มีแต่เศรษฐกิจโลกที่ติดอยู่ในวังวนของภาวะชะงักงันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
  • การเต้นระบำของอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินของแต่ละประเทศจะปรับตัวตามแรงกดดันใหม่ ซึ่งอาจบรรเทาหรือขยายผลกระทบของภาษีศุลกากร สร้างความไม่แน่นอนเพิ่มเติมให้กับตลาดโลก
  • การตอบสนองของธนาคารกลาง เหมือนคนดับเพลิงที่พยายามควบคุมเปลวไฟ ประเทศที่เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาจะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ลดดอกเบี้ย และยอมให้ค่าเงินอ่อนตัว หวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจที่หดตัว
ในขณะเดียวกัน ประเทศที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อกลับต้องเหยียบเบรกด้วยนโยบายการเงินที่เข้มงวด ดอกเบี้ยสูงขึ้น และค่าเงินแข็งค่า พยายามสกัดกั้นค่าครองชีพที่พุ่งสูง
  • การตอบสนองของรัฐบาล นโยบายการคลังของแต่ละประเทศจะถูกปรับเพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่ บางประเทศอาจเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อชดเชยการหดตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่บางประเทศอาจต้องรัดเข็มขัดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ความน่ากลัวของวงจรนี้คือ การตอบสนองที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศอาจยิ่งทำให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น – บางประเทศจมดิ่งลงในภาวะถดถอย ขณะที่บางประเทศต่อสู้กับค่าครองชีพที่พุ่งสูง บางประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่บางประเทศล้าหลัง
เศรษฐกิจโลกที่เคยเชื่อมโยงกันอย่างสมดุลกลายเป็นระบบที่แตกแยกและไร้เสถียรภาพ เหมือนวงดนตรีที่แต่ละคนเล่นคนละเพลงในเวลาเดียวกัน ไม่มีความกลมกลืน มีแต่ความวุ่นวาย
นี่คือความจริงที่แสนเจ็บปวด ในโลกที่เชื่อมโยงกัน การตัดสินใจของประเทศหนึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก และเมื่อทุกประเทศมองแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีใครอาจได้ประโยชน์อย่างแท้จริงในระยะยาว
โลกที่ไม่สมดุล: เมื่อการแก้ไขไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น
คำกล่าวของเรย์ ดาลิโอ ที่พูดถึงภาษีศุลกากรชี้ให้เห็นไปถึงปัญหาที่ลึกกว่านั้น ความไม่สมดุลอันเป็นระบบที่ฝังรากลึกในเศรษฐกิจโลก
ดาลิโอชี้ให้เห็นว่าภายใต้ผิวน้ำที่ดูสงบของการค้าโลก คือกระแสน้ำวนอันตรายที่ก่อตัวมาตลอดหลายทศวรรษของยุคโลกาภิวัตน์ ความไม่สมดุลในการผลิต การค้า และการไหลเวียนของเงินทุนที่ไม่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาระหนี้สินมหาศาลที่พอกพูน
เหมือนบ้านที่ถูกสร้างบนพื้นทรายที่กำลังทรุด ระบบเศรษฐกิจโลกปัจจุบันไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป ความไม่สมดุลเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไข ไม่ใช่เพราะใครต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่เพราะพวกมันคุกคามเสถียรภาพทางการเงิน เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ของทั้งโลก
ผู้ก่อตั้ง Bridgewater ไม่ได้พูดเล่น เมื่อเขาเตือนว่าเราอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในระเบียบโลกทั้งในมิติการเงิน เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ เพื่อปรับสมดุลใหม่ให้กับโลก โดยเขาชี้ว่าอนาคตของแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสามประการ:
หนึ่ง - ความเชื่อมั่นในตลาดทุนและตลาดหนี้ ประเทศที่ยังรักษาความน่าเชื่อถือของตลาดการเงินได้จะยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุน ในขณะที่ประเทศที่ตลาดถูกมองว่าไม่น่าไว้วางใจจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
1
สอง - ระดับผลิตภาพของประเทศ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ประเทศที่มีผลิตภาพสูงจะมีความได้เปรียบเสมอ ความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณค่าอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด
สาม - ความน่าดึงดูดของระบบการเมือง ประเทศที่สามารถรักษาความเชื่อมั่นของทั้งพลเมืองและนักลงทุนในความยุติธรรมและประสิทธิภาพของระบบการเมืองจะเป็นผู้ชนะในระยะยาว
ภาษีศุลกากรอาจเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่จะเร่งให้เกิดการปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้บางประเทศแข็งแกร่งขึ้นและบางประเทศอ่อนแอลง ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจัดการกับสามปัจจัยหลักนี้อย่างไร
โลกกำลังเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ความไม่สมดุลเก่าๆ จะถูกแก้ไข ไม่ว่าจะด้วยวิธีที่เป็นระเบียบหรือวุ่นวาย และแต่ละประเทศจะต้องปรับตัวให้เข้ากับความจริงใหม่นี้ หรือเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เงามืดจากอดีต: เมื่อสงครามการค้าบอกเล่าบทเรียนที่ไม่ควรลืม
ขณะที่นั่งอ่านบันทึกการบรรยายของเรย์ ดาลิโอ ผมไม่อาจสะกดความรู้สึกหนาวสั่นเมื่อเขาย้อนรอยกลับไปยังช่วงเวลามืดมนของประวัติศาสตร์ เยอรมนีในทศวรรษ 1930 เพื่อเตือนใจเราถึงอันตรายของการกีดกันทางการค้า
ดาลิโอฉายภาพให้เห็นความคล้ายคลึงอันน่าตกใจระหว่างเยอรมนียุคนั้นกับสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน โดยเยอรมนีได้ใช้กลยุทธ์ 3 ด้านพร้อมกัน
1.การปรับโครงสร้างหนี้ พวกเขาดำเนินการอย่างแข็งขันเพื่อลดภาระหนี้ที่ถาโถมมาจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
2.การเพิ่มภาษีศุลกากร พวกเขาใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลและปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
3.การขยายตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ พวกเขามุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างเข้มข้น
ดาลิโอเรียกกลยุทธ์นี้ว่า "ชาตินิยม การกีดกันทางการค้า และการทหาร" ซึ่งเป็นคำที่ไม่อาจไม่ให้นึกถึงวาทกรรมการค้าในปัจจุบัน ในการประชุม CNBC ที่สิงคโปร์ เขาถึงกับชี้ให้เห็นความคล้ายคลึงอย่างน่ากังวลระหว่างสถานการณ์ในอดีตกับความตึงเครียดทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก และจีน
บทเรียนจากประวัติศาสตร์นี้ชัดเจน ภาษีศุลกากรไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือทางเศรษฐกิจ แต่สามารถเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศรุนแรงขึ้น กลายเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กว้างขวาง และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในรูปแบบอื่น
แม้ไม่ต้องพูดถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นในระดับเดียวกับยุคทศวรรษ 1930 แต่การเปรียบเทียบของดาลิโอเป็นเสียงเตือนที่สั่นสะเทือนว่า การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงอาจสร้างวงจรอุบาทว์ของการตอบโต้และความไม่ไว้วางใจระหว่างประเทศ ซึ่งยากที่จะหยุดยั้งเมื่อเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในโลกที่เชื่อมโยงกันมากกว่าที่เคยเป็นมา เราไม่ควรมองข้ามบทเรียนจากอดีต ภาษีศุลกากรอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่อันตราย ซึ่งทุกก้าวที่เดินไปอาจทำให้เราห่างไกลจากความร่วมมือและใกล้ชิดกับความขัดแย้งมากขึ้น
อดีตอาจไม่ซ้ำรอย แต่มันมักส่งเสียงกระซิบเตือนเราเสมอ... หากเรายังคงเปิดใจรับฟัง
ดอลลาร์และดุลอำนาจการค้าโลก: สกุลเงินที่เปลี่ยนเกมการค้า
1
เรื่องภาษีศุลกากรไม่อาจแยกจากเรื่องสกุลเงินโลกได้เลย ผมสังเกตว่าเรย์ ดาลิโอ ได้มองลึกลงไปถึงบทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลก และความเชื่อมโยงที่มันมีต่อนโยบายภาษีศุลกากร
ดอลลาร์สหรัฐมีสถานะพิเศษที่มาพร้อมกับข้อดีและข้อเสีย ในด้านบวก มันสร้างความต้องการมหาศาลสำหรับหนี้สินของสหรัฐฯ และให้ข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน สถานะนี้ยังนำไปสู่การกู้ยืมที่มากเกินไปและภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจกลายเป็นจุดอ่อนในระยะยาว
ดาลิโอมองว่าอนาคตอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงในพลวัตสกุลเงินโลก โดยเฉพาะความเป็นไปได้ที่เงินหยวนของจีนจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางการค้าและเงินทุนระหว่างสหรัฐฯ และจีน การปรับค่าเงินเช่นนี้อาจเป็นทางเลือกที่ละมุนละม่อมกว่าภาษีศุลกากรในการแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า หรืออาจถูกใช้ควบคู่กันเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการ
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงิน ภาษีศุลกากร และรูปแบบการค้าโลกนั้นซับซ้อนและเปราะบาง เหมือนการปรับสมดุลของจานหลายใบบนไม้แขวน การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วหรือไม่ได้วางแผนล่วงหน้าอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงในระบบการเงินระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกจึงต้องเดินเส้นทางที่บอบบางในการจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการค้า อัตราแลกเปลี่ยน และสถานะของสกุลเงินหลักของโลก การปรับสมดุลเล็กน้อยอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดและส่งคลื่นกระทบไปทั่วระบบการเงินโลก
ในท้ายที่สุด การแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าโลกจะต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงบทบาทของสกุลเงินหลักและผลกระทบที่มีต่อการไหลเวียนของสินค้า บริการ และเงินทุนทั่วโลก ซึ่งดาลิโอได้ชี้ให้เห็นว่าเป็นส่วนสำคัญของภาพใหญ่ที่ไม่อาจมองข้าม
ความขัดแย้งที่มองไม่เห็น: เมื่อภาษีศุลกากรจุดชนวนสงครามเงียบ
ประเด็นสุดท้ายที่เรย์ ดาลิโอ เน้นย้ำมาตลอดคือความเสี่ยงที่ภาษีศุลกากรจะกลายเป็นชนวนจุดชนวน "การต่อสู้" ระหว่างประเทศ แม้จะไม่ได้หมายถึงการปะทะทางทหารโดยตรง แต่ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจนี้ส่งคลื่นกระทบที่ไม่อาจมองข้าม
ดาลิโอชี้ให้เห็นสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก และจีน ที่ความตึงเครียดจากภาษีศุลกากรค่อยๆ บ่มเพาะความไม่ไว้วางใจและการตอบโต้ไปมา เปรียบเสมือนหมากกระดานที่แต่ละฝ่ายพยายามเอาชนะกันด้วยการเดินหมากทางเศรษฐกิจ โดยไม่ตระหนักว่ากำลังเล่นเกมที่ทุกฝ่ายอาจแพ้ไปพร้อมกัน
ที่น่าสนใจคือ ในท่ามกลางความวุ่นวายนี้ มีผู้ชนะที่คาดไม่ถึง ประเทศที่ยืนหยัดความเป็นกลาง ดาลิโอยกตัวอย่างสิงคโปร์ ที่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งด้วยการรักษาความเป็นกลางท่ามกลางพายุการค้า กลายเป็นที่พักพิงสำหรับทั้งคนและเงินทุนที่หนีจากความขัดแย้ง
เมื่อประเทศมหาอำนาจมัวแต่ยุ่งกับการตอบโต้กันเอง ประเทศเล็กที่มีนโยบายฉลาดกลับมีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากกว่า ทั้งการลงทุน ทรัพยากรมนุษย์ และโอกาสทางเศรษฐกิจที่ไหลเข้ามาสู่ประเทศที่มีสภาพแวดล้อมที่มั่นคงและสร้างสรรค์
นี่คือความจริงอันขมขื่นของสงครามการค้า ไม่มีใครชนะจริงๆ ในระยะยาว ยกเว้นผู้ที่เลือกจะไม่เล่นเกมนั้นเลย และในโลกที่ทุกประเทศต่างพึ่งพากันมากขึ้นเรื่อยๆ ความพยายามสร้างกำแพงอาจกลายเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจในท้ายที่สุด
ทรัมป์กับการฟื้นคืนภาษีศุลกากรสู่เวทีโลก: ยุคใหม่ของการค้าระหว่างประเทศ
นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในยุคปัจจุบันของการนำภาษีศุลกากรกลับมาเป็นเครื่องมือหลักในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา เราได้เห็นการประกาศภาษีตอบโต้ร้อยละ 27 กับสินค้าจากอินเดีย ซึ่งทรัมป์ขนานนามวันนี้ว่าเป็น "วันแห่งการปลดปล่อย" ของอุตสาหกรรมอเมริกัน
ทรัมป์ใช้ตัวเลขความไม่เสมอภาคทางการค้าเป็นกระสุนสำคัญในการสนับสนุนนโยบายนี้ โดยชี้ให้เห็นความแตกต่างชัดเจน:
- สหรัฐฯ เก็บภาษีรถจักรยานยนต์นำเข้าเพียง 2.4% ขณะที่ไทยและอินเดียเก็บในอัตราสูงกว่ามาก
- รถยนต์ที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ถูกเก็บภาษีเพียง 2.5% แต่อินเดียเก็บถึง 70% และสหภาพยุโรปมากกว่า 10%
การที่ทรัมป์เลือกเก็บภาษีตอบโต้เพียงครึ่งหนึ่งของที่อินเดียเก็บจากสหรัฐฯ (27% เทียบกับ 52%) แสดงให้เห็นถึงการใช้ภาษีศุลกากรไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองที่สื่อถึงความเป็นธรรมในการค้าระหว่างประเทศ
ยุทธศาสตร์ของทรัมป์สะท้อนแนวคิดที่เรย์ ดาลิโอได้วิเคราะห์ไว้อย่างแม่นยำ การใช้ภาษีศุลกากรเป็นเครื่องมือในการปรับสมดุลความสัมพันธ์ทางการค้า แม้จะต้องแลกมาด้วยประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงต่อการเกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศ
ในโลกของการเมืองและเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง ภาษีศุลกากรได้กลับมาเป็นตัวแสดงหลักบนเวทีโลก เป็นสัญญาณของระบบการค้าโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายและการปรับตัวครั้งใหญ่ ซึ่งผลลัพธ์ในระยะยาวยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้...
ภาษีศุลกากรในฐานะที่พึ่งสุดท้ายของประเทศที่จมกับหนี้สิน
เรย์ ดาลิโอ ได้ทำให้เราเห็นภาพความเชื่อมโยงที่น่ากังวลระหว่างภาษีศุลกากรกับวิกฤตหนี้สินที่กำลังคืบคลานเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา
ดาลิโอเตือนว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาขนาดใหญ่เกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทานของหนี้สหรัฐฯ สถานการณ์คือ สหรัฐฯ จำเป็นต้องขายพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมหาศาลเพื่อระดมทุน แต่โลกอาจไม่มีความต้องการหรือความสามารถในการซื้อในปริมาณที่จำเป็น
ตามที่ดาลิโอระบุ การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ จำเป็นต้องลดลงอย่างมากจาก 7.2% ของ GDP เหลือประมาณ 3% ซึ่งเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ที่อาจนำไปสู่ "พัฒนาการที่น่าตกใจ" ในวิธีการแก้ไขปัญหานี้
ทางออกที่อาจเกิดขึ้นมีหลายรูปแบบที่น่ากังวล:
- การปรับโครงสร้างหนี้
- การกดดันให้ประเทศอื่นๆ ซื้อหนี้สินสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
- การลดการชำระเงินให้กับประเทศเจ้าหนี้บางราย
ในสถานการณ์นี้ ภาษีศุลกากรกลายเป็นเครื่องมือที่น่าดึงดูดสำหรับรัฐบาลด้วยเหตุผลที่เพิ่มเติมจากการแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า นั่นคือ การเป็นแหล่งรายได้ใหม่เพื่อจัดการกับวิกฤตการคลัง ซึ่งอาจทำให้การใช้ภาษีศุลกากรมีความน่าดึงดูดยิ่งขึ้นสำหรับผู้กำหนดนโยบาย แม้จะมีผลกระทบด้านลบต่อประสิทธิภาพเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ภาษีศุลกากรจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือทางการค้า แต่อาจกลายเป็นเสมือนสายชูชีพทางการคลังในยามวิกฤต ซึ่งทำให้การพิจารณาผลกระทบระยะยาวของมันมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น และอาจเป็นส่วนหนึ่งของการปรับสมดุลทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ถอดรหัสผลกระทบของภาษีศุลกากร: เมื่อตลาดโลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
การประเมินว่าภาษีศุลกากรจะส่งผลต่อตลาดอย่างไรนั้นเป็นงานที่ซับซ้อนราวกับการคาดเดาทิศทางของพายุที่กำลังก่อตัว เรย์ ดาลิโอ ยอมรับว่ามี "ชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวจำนวนมาก" ในสมการนี้ ซึ่งไม่สามารถวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองอย่างง่ายได้
การประเมินที่สมบูรณ์ต้องพิจารณาทั้งผลกระทบหลักทั้งหกประการที่ดาลิโอได้ชี้ให้เห็น ตั้งแต่การสร้างรายได้ให้รัฐบาล ไปจนถึงการลดการพึ่งพาต่างประเทศ และยังต้องไม่ละเลยผลกระทบรองที่ซับซ้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาตอบโต้ของประเทศต่างๆ การปรับตัวของอัตราแลกเปลี่ยน และการตอบสนองของธนาคารกลางและรัฐบาลทั่วโลก
สิ่งที่สำคัญยิ่งในการประเมินนี้คือความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของประเทศ ซึ่งดาลิโอระบุว่าขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสามประการ:
1. ความน่าเชื่อถือของตลาดพันธบัตร ซึ่งจะกำหนดว่าประเทศสามารถระดมทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
2. ระดับผลิตภาพของประเทศ ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่งคั่งในระยะยาว
3. ความน่าดึงดูดของระบบการเมือง ที่สามารถรักษาเสถียรภาพและความไว้วางใจท่ามกลางความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันซับซ้อนของเศรษฐกิจโลก ที่การกระทำในประเทศหนึ่งสามารถส่งผลกระทบไปทั่วโลก เหมือนการโยนก้อนหินลงในทะเลสาบที่สงบนิ่ง เราไม่เพียงแต่ต้องพิจารณาคลื่นระลอกแรกที่เกิดขึ้น แต่ยังต้องคำนึงถึงคลื่นที่สะท้อนกลับและปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างคลื่นเหล่านั้นด้วย
ในท้ายที่สุด ตลาดโลกที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างลึกซึ้งในปัจจุบันทำให้การคาดการณ์ผลกระทบของภาษีศุลกากรเป็นศาสตร์ที่ไม่อาจแม่นยำได้อย่างสมบูรณ์ แต่การเข้าใจปัจจัยหลักเหล่านี้จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก
เข็มทิศสำหรับโลกที่ซับซ้อน: การนำทางอนาคตของนโยบายภาษีศุลกากร
การวิเคราะห์ของเรย์ ดาลิโอ ไม่ได้เป็นเพียงการสำรวจภาษีศุลกากรในปัจจุบัน แต่ยังเป็นเข็มทิศสำหรับการนำทางอนาคตที่ไม่แน่นอน ดาลิโอเน้นย้ำว่าการเข้าใจประวัติศาสตร์และกลไกของภาษีศุลกากรเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
ความเป็นกลางทางการเมืองในการวิเคราะห์ของเขาทำให้มุมมองนี้มีค่ายิ่งขึ้น ดาลิโอมองตัวเองเหมือนแพทย์หรือช่างเครื่อง ไม่ได้มุ่งเน้นที่จะสนับสนุนนโยบายใดนโยบายหนึ่ง แต่พยายามวินิจฉัยและอธิบายว่าเครื่องจักรทางเศรษฐกิจทำงานอย่างไร เพื่อให้ผู้อื่นสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล
ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การวิเคราะห์เชิงลึกนี้เป็นเสมือนคำเตือนถึงผลกระทบอันกว้างขวางของนโยบายภาษีศุลกากร ที่ส่งผลกระทบไปไกลเกินกว่าที่เห็นในทันที
1
ผู้กำหนดนโยบายและนักลงทุนต้องเตรียมพร้อมสำหรับยุคเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นและอาจผันผวนยิ่งขึ้น โดยต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ระยะสั้นและความท้าทายระยะยาวของภาษีศุลกากรอย่างรอบคอบ
ทางเดินข้างหน้าอาจอยู่ที่การพัฒนากลยุทธ์ที่สมดุลมากขึ้น ซึ่งลดการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็จัดการกับความกังวลที่ชอบธรรมเกี่ยวกับความเป็นธรรมทางการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ
ทั้งนี้ บทเรียนที่ชัดเจนที่สุดจากการวิเคราะห์ของดาลิโอ คือไม่มีทางเลือกที่ง่ายดายในนโยบายภาษีศุลกากร มีแต่การตัดสินใจที่ซับซ้อนซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงกลไกทางเศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
สุดท้ายนี้แล้วประเทศไทยอย่างเราควรดำเนินนโยบายการค้ารูปแบบใด?......เป็นคำถามที่ยังติดอยู่ในหัวผมตอนนี้
Ref.
โฆษณา