3 เม.ย. เวลา 16:06 • สุขภาพ

ประโยชน์ของรสเค็ม - ประโยชน์/โทษของน้ำตาล

การกินเค็มในปริมาณที่เหมาะสมมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น
1. รักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย – โซเดียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยควบคุมสมดุลน้ำและความดันโลหิต
2. ช่วยในการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ – โซเดียมมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทและการหดตัวของกล้ามเนื้อ
3. ป้องกันภาวะขาดเกลือแร่ – โดยเฉพาะในกรณีที่ร่างกายเสียเหงื่อมาก เช่น ออกกำลังกายหนักหรืออยู่ในสภาพอากาศร้อน
4. ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร – เกลือสามารถช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร ทำให้อยากอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาความอยากอาหารต่ำ
อย่างไรก็ตาม การบริโภคโซเดียมมากเกินไปอาจส่งผลเสีย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคไต หรือโรคหัวใจ ดังนั้นควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวันตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก)
-ประโยชน์ของน้ำตาล-
การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสมมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น
1. ให้พลังงานแก่ร่างกาย – น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลูโคสที่จำเป็นต่อสมองและเซลล์ต่างๆ
2. ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง – สมองใช้กลูโคสเป็นแหล่งพลังงานหลัก ช่วยให้คิดและจดจำได้ดีขึ้น
3. เพิ่มระดับพลังงานชั่วคราว – การบริโภคน้ำตาลช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและลดอาการอ่อนเพลีย โดยเฉพาะหลังจากออกกำลังกายหนัก
4. ช่วยปรับอารมณ์ – น้ำตาลช่วยกระตุ้นการหลั่งเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
5. จำเป็นต่อการเผาผลาญไขมัน – ร่างกายต้องการกลูโคสเพื่อเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ
6. ช่วยฟื้นตัวหลังออกกำลังกาย – น้ำตาลช่วยเติมไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังจากออกกำลังกายหนัก
อย่างไรก็ตาม ควรบริโภคน้ำตาลจากแหล่งธรรมชาติ เช่น ผลไม้ และหลีกเลี่ยงน้ำตาลแปรรูปหรือน้ำตาลส่วนเกิน เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น
-โทษของน้ำตาล-
การกินหวานมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายประการ เช่น
1. เสี่ยงต่อโรคอ้วน – น้ำตาลส่วนเกินจะถูกแปรรูปเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
2. เพิ่มโอกาสเป็นโรคเบาหวาน – การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
3. ทำให้ฟันผุ – น้ำตาลเป็นอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก ทำให้เกิดกรดที่ทำลายเคลือบฟัน
4. เสี่ยงต่อโรคหัวใจ – การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปอาจเพิ่มระดับไขมันในเลือด (ไตรกลีเซอไรด์) และทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจ
5. ส่งผลต่อผิวพรรณ – น้ำตาลทำให้เกิดกระบวนการไกลเคชั่น (glycation) ที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแก่เร็ว
6. ทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวน – น้ำตาลส่งผลต่อระดับพลังงานและสารเคมีในสมอง อาจทำให้รู้สึกดีในช่วงแรกแต่เกิดอาการอ่อนเพลียและหงุดหงิดภายหลัง
7. เพิ่มความเสี่ยงของโรคตับ – น้ำตาลฟรุกโตสที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease)
เพื่อลดความเสี่ยง แนะนำให้จำกัดการบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา (25 กรัม) ต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 9 ช้อนชา (37.5 กรัม) ต่อวันสำหรับผู้ชาย ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)
อย่างไรก็ตาม ร่างกายแต่ละคนมีความแตกต่างกันจึงไม่สามารถบริโภคอาหารได้ในลักษณะเดียวกันทุกคน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม โรคประจำตัว ซึ่งอาจมีอาหารบางชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง ทั้งนี้ควรตรวจร่างกายและมีแพทย์ประจำสำหรับการให้คำปรึกษาแนะนำ
โฆษณา