3 เม.ย. เวลา 16:23 • สุขภาพ

ปัญหากลิ่นปาก สาเหตุต่าง ๆ และทางแก้

สำหรับอาการปากเหม็นเรื้อรัง อาจเกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งบางอย่างเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขอนามัยและสุขภาพร่างกาย มากกว่ากรรมพันธุ์โดยตรง แต่ก็มีบางกรณีที่อาจมีพันธุกรรมเป็นปัจจัยร่วม เช่น
สาเหตุที่พบบ่อย
1. สุขอนามัยในช่องปากไม่ดี – การแปรงฟันไม่สะอาด หรือไม่ใช้ไหมขัดฟัน ทำให้มีคราบพลัคและเศษอาหารสะสมในซอกฟัน
2. ลิ้นเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรีย – คราบขาวที่ลิ้น (Biofilm) เป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่สร้างกลิ่น
3. โรคเหงือกและฟันผุ – การอักเสบของเหงือกและฟันที่มีโพรงฟันลึก ทำให้เศษอาหารและแบคทีเรียติดค้าง
4. ภาวะปากแห้ง (Xerostomia) – น้ำลายลดลงจากการใช้ยา ความเครียด หรือโรคบางอย่าง ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
5. การติดเชื้อไซนัสหรือระบบทางเดินหายใจ – น้ำมูกไหลลงคอ หรือการติดเชื้อเรื้อรังในจมูกและคอ อาจทำให้เกิดกลิ่น
6. อาหารและเครื่องดื่ม – การกินกระเทียม หัวหอม หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
7. ปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร – เช่น กรดไหลย้อน หรือภาวะย่อยอาหารผิดปกติ
8. สูบบุหรี่ – ทำให้ปากแห้งและเกิดคราบบนฟันและลิ้น
-กรรมพันธุ์เกี่ยวข้องหรือไม่?-
กรรมพันธุ์อาจมีผลทางอ้อม เช่น
• โครงสร้างปากและฟัน – หากมีฟันเกผิดปกติหรือเหงือกร่นง่าย อาจทำให้เกิดคราบสะสมและทำความสะอาดได้ยากขึ้น
• ภาวะน้ำลายน้อยโดยกำเนิด – ทำให้เกิดปากแห้งและกลิ่นปากง่าย
• โรคทางพันธุกรรมบางชนิด – เช่น โรค Trimethylaminuria (ภาวะปากเหม็นและตัวเหม็นจากการเผาผลาญผิดปกติ)
-วิธีแก้ไขและลดกลิ่นปาก-
• แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
• ขูดลิ้นเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย
• ดื่มน้ำมาก ๆ และหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นกลิ่น
• หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์
• เช็กสุขภาพฟันและเหงือกกับทันตแพทย์สม่ำเสมอ
• หากมีโรคประจำตัวที่อาจเกี่ยวข้อง ควรปรึกษาแพทย์
ถ้าปากเหม็นเกิดจาก ไซนัสอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinosinusitis) สาเหตุมักมาจาก น้ำมูกที่ค้างอยู่ในโพรงจมูกและไหลลงคอ (Post-nasal drip) ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและเมือกที่ทำให้มีกลิ่น
-วิธีแก้ปากเหม็นจากไซนัสอักเสบและภูมิแพ้-
1. ล้างจมูกเป็นประจำ
ใช้น้ำเกลือล้างจมูก (Nasal Irrigation) เพื่อขจัดน้ำมูกและลดการสะสมของเชื้อโรค
• ใช้น้ำเกลือ Normal Saline (0.9%) หรือ น้ำเกลือสำหรับล้างจมูก
• ใช้ไซริงค์ (Syringe) หรือ Neti Pot ช่วยฉีดน้ำเกลือเข้าโพรงจมูก
2. รักษาภูมิแพ้เพื่อลดน้ำมูก
ใช้ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines) เช่น
• Cetirizine (Zyrtec)
• Loratadine (Claritin)
• Fexofenadine (Allegra)
ใช้สเปรย์จมูกลดอาการอักเสบ เช่น
• Fluticasone (Flonase)
• Mometasone (Nasonex)
❌ หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ควัน อากาศแห้ง หรืออาหารที่กระตุ้นอาการ
3. กำจัดเสมหะในลำคอ
- ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ เพื่อช่วยให้เสมหะละลาย
- อมลูกอมสมุนไพร หรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาวเพื่อลดเสมหะ
- กลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ ทุกวัน
4. ดูแลสุขอนามัยในช่องปาก
- แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
- ขูดลิ้นเพื่อลดคราบแบคทีเรียที่เกิดจากน้ำมูก
- ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น Chlorhexidine (Corsodyl) หรือ Cetylpyridinium chloride
5. ใช้ยาปฏิชีวนะ (ถ้ามีการติดเชื้อ)
ถ้ามี ไซนัสติดเชื้อแบคทีเรีย (ไซนัสอักเสบเรื้อรัง) อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น
• Amoxicillin-Clavulanate (Augmentin)
• Doxycycline
*แต่ควรให้แพทย์เป็นคนสั่งยาเท่านั้น
สรุป
ถ้าปากเหม็นเพราะไซนัสและภูมิแพ้ ต้องรักษาที่ต้นเหตุ โดย
✔ ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือบ่อย ๆ
✔ ใช้ยาลดภูมิแพ้เพื่อลดน้ำมูก
✔ ดื่มน้ำอุ่นและกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ
✔ ดูแลช่องปากให้สะอาด
-การใช้ไหมขัดฟันมีผลเสียหรือไม่?-
โดยทั่วไป การใช้ไหมขัดฟันทุกวันไม่มีโทษ ถ้าทำอย่างถูกต้อง แต่ถ้าใช้ผิดวิธีหรือแรงเกินไป อาจเกิดปัญหาตามมาได้ เช่น
ผลเสียที่อาจเกิดจากการใช้ไหมขัดฟันผิดวิธี
1. เหงือกร่น – ถ้ากดไหมขัดฟันแรงเกินไปหรือเสียดสีซ้ำ ๆ อาจทำให้เหงือกร่นและทำให้ฟันดูยาวขึ้น
2. เลือดออกตามไรฟัน – ถ้าเหงือกอักเสบอยู่แล้ว หรือใช้ไหมขัดฟันกระแทกแรงเกินไป อาจทำให้เหงือกฉีกและเลือดออก
3. ทำให้ฟันห่างได้ (ในบางกรณี) – ถ้าใช้ไหมขัดฟันดึงแรงเกินไปและบาดเหงือก อาจทำให้เนื้อเยื่อเหงือกถอยลง ทำให้เห็นช่องว่างระหว่างฟันมากขึ้น
4. ทำให้แบคทีเรียกระจาย – ถ้าไหมขัดฟันสกปรกหรือใช้ซ้ำ อาจทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายไปส่วนอื่นของช่องปาก
-วิธีใช้ไหมขัดฟันที่ถูกต้อง-
1. ใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง (ก่อนนอนดีที่สุด)
2. ใช้แรงพอดี ไม่กดแรงเกินไป
3. ใช้ไหมขัดฟันเส้นใหม่ในแต่ละซอกฟัน เพื่อไม่ให้แบคทีเรียจากซอกหนึ่งไปติดอีกซอก
4. อย่ากระแทกไหมขัดฟันลงเหงือก ให้ค่อย ๆ เลื่อนลง และโอบรอบฟันเป็นรูปตัว “C”
5. ถ้าเหงือกอักเสบและมีเลือดออก ให้ทำต่อไปเรื่อย ๆ เพราะมักเป็นสัญญาณว่าเหงือกมีพลัคสะสม
โฆษณา