การกลับมาของกำแพงภาษีของ Donald Trump และผลกระทบต่อประเทศไทย
การกลับมาของ Donald Trump ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 อีกครั้ง ได้นำพานโยบายกำแพงภาษี (Tariff) กลับมาสู่เวทีโลกอย่างเด่นชัด
Donald Trumpได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขามีความชื่นชมในตัวของ William McKinley อดีตประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "เจ้าพ่อแห่งกำแพงภาษี" ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 บทความนี้จะพาไปสำรวจว่าเหตุใดทรัมป์ถึงให้ความสำคัญกับ McKinley และนโยบายกำแพงภาษีของเขาจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร
William McKinley = ต้นแบบของทรัมป์ในเรื่องกำแพงภาษี
William McKinley อดีตประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ
William McKinleyดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างปี 1897-1901 และเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลักดันนโยบายกำแพงภาษีสูงเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ในช่วงเวลานั้น สหรัฐฯ กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรม และ McKinley เชื่อว่าการตั้งกำแพงภาษีจะช่วยให้อุตสาหกรรมอเมริกันเติบโตได้โดยไม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากต่างประเทศมากนัก
Trump ได้กล่าวถึง McKinley ในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งของเขา โดยยกย่องว่า “McKinley เป็นผู้ที่ทำให้ประเทศร่ำรวยด้วยนโยบายกำแพงภาษี” นอกจากนี้ Trump ยังได้เปลี่ยนชื่อภูเขาเดนาลีในอลาสก้ากลับมาเป็นชื่อ Mount of McKinley เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนนี้ แสดงให้เห็นถึงความชื่นชมอย่างลึกซึ้ง
นโยบายกำแพงภาษีของ Trump = "การขึ้นภาษีแบบทั่วไป”
Trump ได้ประกาศว่าจะใช้นโยบายกำแพงภาษีแบบ “Across the board” คือการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก แต่ด้วยอัตราที่แตกต่างกันไปตามกลุ่มประเทศ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้
1. เพื่อนบ้าน (แคนาดาและเม็กซิโก) - มีประเด็นเรื่องพรมแดนและการอพยพเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกับเม็กซิโก
2. ยุโรป - มีเรื่องขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) และความมั่นคงในยูเครน-รัสเซีย Trump ต้องการให้ยุโรปจ่ายเงินสนับสนุน NATO มากขึ้น
3. จีน - เป็นเรื่องของการจำกัดอิทธิพลของจีนในระยะยาว รวมถึงการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีและการจำกัดบริษัทจีนอย่าง TikTok หรือ Huawei เป็นต้น
4. ประเทศอื่นๆ (รวมถึงประเทศไทย) - ไม่มีประเด็น “Geopolitical” หรือเรื่องพรมแดน แต่เป็นเรื่องของการขาดดุลการค้า (Trade deficit) ล้วนๆ Trump ต้องการลดการขาดดุลการค้ากับประเทศเหล่านี้
ผลกระทบต่อประเทศไทย = การขาดดุลการค้า การหาตลาดใหม่ และการคาดการณ์ว่า GDP ประเทศไทยจะติดลบ
สำหรับประเทศไทย ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 4 นโยบายกำแพงภาษีของ Trump (36-37%) จะส่งผลโดยตรงต่อการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เนื่องจาก Trump มุ่งเน้นที่การลดการขาดดุลการค้าเป็นหลัก โดยไม่สนใจประเด็นอื่นๆ เช่น การเมืองระหว่างประเทศหรือสิทธิมนุษยชน ดังนั้น ประเทศไทยอาจต้องพิจารณาหาทางเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากกำแพงภาษีนี้
หนึ่งในทางเลือกที่เป็นไปได้คือการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น การซื้อเครื่องบินรบ F-16 หรือการลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรและเนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ เพื่อสร้างความสมดุลทางการค้ามากขึ้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวย่อมมีผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศที่อาจเสียประโยชน์
นอกจากนี้ เมื่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องเผชิญกับกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ พร้อมกัน ประเทศผู้ส่งออกอย่างไทย เวียดนาม และมาเลเซีย อาจต้องแข่งขันกันเองในการหาตลาดใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะสินค้าล้นตลาด ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมหดตัว และกระทบต่อการจ้างงานในระยะยาว
ความแตกต่างระหว่างยุคของ McKinley และปัจจุบัน?
แม้ว่า Trump จะใช้ McKinley เป็นต้นแบบ แต่อุตสาหกรรมและการค้าในปัจจุบันแตกต่างจากยุคของ McKinley อย่างมาก ในศตวรรษที่ 19 สหรัฐฯ ยังอยู่ในช่วงการพัฒนาอุตสาหกรรมและมีห่วงโซ่อุปทานที่จำกัดอยู่ภายในประเทศ แต่ในปัจจุบัน เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนผ่านห่วงโซ่อุปทานข้ามชาติ ดังนั้น การตั้งกำแพงภาษีในยุคนี้จึงอาจไม่สามารถสร้างผลลัพธ์เช่นเดียวกับในอดีต
ประเทศไทยต้องปรับตัวอย่างไร?
นโยบายกำแพงภาษีของ Trump ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก McKinley อาจสร้างความท้าทายให้กับประเทศไทยในการรักษาตลาดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องหาทางปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาการค้าใหม่กับสหรัฐฯ หรือการหาตลาดใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในระยะยาว
สุดท้ายนี้ แม้ว่า Trump จะมอง McKinley เป็นต้นแบบ แต่บริบททางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอาจทำให้ผลลัพธ์ของนโยบายกำแพงภาษีในยุคนี้แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนนี้อย่างรอบคอบ
#TrumpTariffs
#วันละเรื่องสองเรื่อง
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
