4 เม.ย. เวลา 02:49 • ประวัติศาสตร์

วิวัฒนาการของสุนัขสงคราม (Evolution of War Dog)

เรื่องราวการนำสุนัขมาใช้ในสงครามครั้งแรกมีบันทึกย้อนหลังไปถึงราว 600 ปีก่อนคริสตกาล อาลียาตเตส (Alyattes) กษัตริย์แห่งลิเดีย (Lydia) ขับไล่ชาวซิมเมเรียน (Cimmerians) ออกจากเอเชียไมเนอร์ โดยส่งฝูงสุนัขไปโจมตีทหารซิมเมเรียน ในช่วงเวลาเดียวกัน ทหารแม็กนีเซียน (Magnesian) ใช้สุนัขในสงครามกับชาวเอเฟซัส (Ephesians) ทหารม้าแม็กนีเซียนแต่ละคนมีสุนัขและผู้ติดตามที่ถือหอกร่วมเดินทางด้วย สุนัขถูกปล่อยออกไปเพื่อโจมตีแนวหน้าของศัตรูก่อน ตามด้วยการโจมตีด้วยหอกและการโจมตีด้วยทหารม้า
เมื่อ 525 ปีก่อนคริสตกาล ตามบันทึกของโพลีเอนัส (Polyaenus) นักประวัติศาสตร์ทหาร ได้บันทึกเรื่องราวการนำสุนัขมาใช้ทำสงครามในเชิงจิตวิทยา การสู้รบกันที่เมืองเพลูเซียม (Battle of Pelusium) ระหว่างพวกเปอร์เซียและพวกอียิปต์ กษัตริย์แคมไบซิสแห่งเปอร์เซีย (Cambyses II) ต้องการขยายอิทธิพลของอาณาจักรเปอร์เซียไปยังอียิปต์ จึงทำสงครามกับอียิปต์ภายใต้การปกครองของฟาโรห์ซัมติกที่ ๓ (Psamtik III)
กษัตริย์แคมไบซิสได้นำกลยุทธ์ทางจิตวิทยามาใช้โดยเห็นจุดอ่อนของชาวอียิปต์ที่เคารพสัตว์หลายชนิด กองทัพเปอร์เซียใช้สุนัขเดินนำหน้าทัพทำให้กองทัพอียิปต์ไม่กล้าต่อสู้ ต่อมากองทัพเปอร์เซียได้รับชัยชนะในที่สุด
ภาพ : การต่อสู้ระหว่างชาวซิมเมเรียนและชาวกรีกตามที่ปรากฎบนจานปอนติก  ทหารม้าซิมเมเรียนและสุนัขศึกต่อสู้กับทหารราบโฮเพลีทชาวกรีก ที่มา : https://www.flickr.com
ภาพ : ชิ้นส่วนของภาพนูนต่ำในพิพิธภัณฑ์วาติกัน ออกัสตัสแห่งพรีมาพอร์ตา (Augustus of Primaporta) แสดงภาพทหารโรมันกับสุนัขศึก ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล ที่มา : https://www.eternalsoldier.org
ในยุทธการที่มาราธอน (Battle of Marathon) ช่วงที่ชาวเปอร์เซียบุกชาวกรีกครั้งแรก ราว 490 ปีก่อนคริสต์ศักราช นายทหารชาวกรีกชื่อโฮเพลีท เข้าสู้รบต่อต้านพวกเปอร์เซีย สุนัขตัวหนึ่งได้ติดตามเขาไปในสนามรบ และได้ถูกนำเรื่องราวมาทำจิตรกรรมฝาผนังเพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ กษัตริย์เซอร์ซีสที่ 1 (486 – 465 ปีก่อนคริสต์ศักราช) แห่งเปอร์เซียได้เสด็จพร้อมกับฝูงสุนัขล่าเนื้อจำนวนมาก สุนัขเหล่านี้ถูกใช้เพื่อกีฬาต่อสู้ (Fighting dogs) หรือการล่าสัตว์ (Hunting dogs)
ต่อมาการใช้งานสุนัขต่อสู้ก็กลายเป็นวัฒนธรรม ในสมัยจักรวรรดิโรมัน สุนัขได้รับการปฏิบัติราวกับสมาชิกในครอบครัว ชาวโรมันมักจะสวมปลอกคอโลหะมีหนามและชุดเกราะป้องกันให้กับสุนัข สุนัขพันธุ์โมลอสซัส และพันธุ์เคน คอร์โซ
สุนัขไม่เพียงถูกฝึกใช้เป็นสุนัขทหารเฝ้ายาม ร่วมออกรบโดยขนตะกร้าที่มีน้ำมันจุดไฟเผาเข้าไปในแนวรบของศัตรูเท่านั้น สุนัขพันธุ์นี้ยังเข้าร่วมในสนามประลองกลาดิเอเตอร์ (Gladiator) เพื่อต่อสู้กับเสือ สิงโต ช้าง อีกด้วย สุนัขถูกใช้ต่อสู้ในสงครามหลายครั้ง
อาทิ ช่วงเวลาประมาณ 281 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์ไลซิมาคัส (Lysimachus) ผู้ปกครองเทรซ เอเชียไมเนอร์ และมาซิโดเนีย ถูกสังหารระหว่างการสู้รบที่คอรูเพดิอุม (Battle of Corupedium) ร่างของเขาถูกพบในสนามรบไม่กี่วันต่อมาพร้อมกับสุนัขซึ่งคอยปกป้องศพของเขาจากนกล่าเหยื่อและสัตว์อื่นๆ
ราว 231 ปีก่อนคริสตกาล มาร์คัส ปอมโปเนียส มาโธ (Marcus Pomponius Matho) กงสุลโรมัน ใช้สุนัขล่ากองโจรที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำขณะนำกองทหารโรมันผ่านแผ่นดินตอนในของซาร์ดิเนีย ในปี 55 ก่อนคริสตกาล จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) แม่ทัพชาวโรมัน ใช้สุนัขพันธุ์มาสทิฟอังกฤษรุกรานบริเตน ซีซาร์บรรยายไว้ในบันทึกของเขาว่าสุนัขเหล่านี้ทรงพลังและกล้าหาญเมื่อต่อสู้เคียงข้างกับเจ้านาย
แม้กระทั่งการบุกเบิกทวีปอเมริกาของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักเดินเรือชาวอิตาลีในครั้งที่เดินทางมายังทวีปอเมริกาเป็นครั้งที่สอง โคลัมบัสเตรียมพร้อมนำอาวุธมาด้วยมากมาย ซึ่งก็รวมถึงสุนัขล่าเนื้อ ในปี ค.ศ. 1493 (พ.ศ. 2036) ผู้รุกรานชาวสเปนรุกรานอเมริกาพื้นเมือง โจมตีชนเผ่าบนเกาะฮิสปันโยลา และปีต่อมา ค.ศ. 1494 (พ.ศ. 2037) ก็ใช้สุนัขล่าเนื้อโจมตีชนเผ่าที่จาไมก้า
การใช้ “สุนัขล่าเนื้อ” เป็นกลยุทธ์สำคัญของชาวสเปน สุนัขล่าเนื้อเป็นสิ่งที่ชนเผ่าพื้นเมืองหวาดกลัว โดยสุนัขล่าเนื้อหรือสุนัขสงครามเหล่านี้ได้สังหารชนเผ่าพื้นเมืองเป็นจำนวนมาก สุนัขเหล่านี้สามารถกินศัตรูทุกตัวที่กัดได้ สุนัขต่อสู้ของสเปนเป็นที่เกรงขามมากจนผู้พิชิตอย่างปอนเซ เดอ เลออนใช้สุนัขทั้งฝูงปราบกบฏของทาสในเปอร์โตริโก
ภาพ : รูปปั้นของสุนัขบนหลุมฝังศพของ กษัตริย์ไลซิมาคัส กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ รูปปั้นนี้แสดงถึงความภักดีของสุนัขต่อเจ้านายของเขา เมื่อกษัตริย์ไลซิมาคัส สิ้นพระชนม์ สุนัขยังคอยปกป้องพระศพจากนกล่าเหยื่อและสัตว์อื่นๆ ต่อมาร่างกษัตริย์ไลซิมาคัสถูกเผาที่หลุมศพสุนัขตัวนี้โศกเศร้าคร่ำครวญส่งเสียงร้องและหอน ก่อนที่จะกระโจนเข้าไปในกองไฟเพื่อตามเจ้านายของเขาไป
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพอื่นๆ เช่นกองทัพอังกฤษและกองทัพฝรั่งเศส แทบไม่มีสุนัขทหารเลยแต่กองทัพเยอรมันได้เริ่มผสมพันธุ์สุนัขพันธุ์เยอรมัน เชพเพิร์ด ได้ในปี ค.ศ. 1899 และก่อตั้งสมาคมสุนัขแพทย์แห่งเยอรมนีในปี ค.ศ. 1890 ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีมีสุนัขที่ผ่านการฝึกแล้วประมาณ 6,000 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็น สุนัขปฐมพยาบาล สุนัขกาชาดหรือสุนัขแพทย์ (Casualty dogs or Mercy dogs)
สุนัขกาชาดเยอรมันได้รับการฝึกฝนโดยสภากาชาดแห่งชาติ สุนัขกาชาดจำนวนกว่า 20,000 ตัว จะทำหน้าที่พยาบาลฉุกเฉินในกองทหาร โดยจะช่วยค้นหาทหารที่บาดเจ็บ ขนส่งอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปให้ทหารที่บาดเจ็บ นำทางแพทย์สนามไปยังทหารที่ต้องการการรักษาเป็นพิเศษ ลากทหารที่ได้รับบาดเจ็บกลับที่พัก คอยปลอบโยนทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจกำลังจะตาย ด้วยขนาดที่เล็กของสุนัขจึงเดินบนภูมิประเทศในสงครามสนามเพลาะได้ง่ายกว่ามนุษย์มาก สุนัขกาชาดได้รับการยกย่องว่าช่วยชีวิตผู้คนได้หลายพันคน
เมื่อเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายมหาอำนาจกลาง ได้นำสุนัขมาใช้งานต่างๆ ได้แก่ สุนัขเฝ้ายาม (Sentry Dogs) ถือเป็นการนำสุนัขมาใช้งานทางการทหารยุคแรกๆ ที่ใช้ป้องกันค่ายหรือพื้นที่สำคัญอื่นๆ เฝ้าอาคารทหาร เสบียง เชลยศึก ผู้ละทิ้ง ในเวลากลางคืนและบางครั้งในเวลากลางวัน สุนัขจะเห่าหรือคำรามเพื่อแจ้งให้ทหารยามทราบว่ามีคนแปลกหน้าอยู่
สุนัขลาดตระเวน (Scouts dogs) พวกเขาเตือนศัตรู ด้วยประสาทรับกลิ่นที่ดีเยี่ยม สุนัขจึงสามารถเตือนก๊าซพิษก่อนที่ทหารจะรู้ตัวได้ ฝ่ายสัมพันธมิตรก็มีการใช้สุนัขทหารอย่างกว้างขวาง
กองทัพอิตาลีใช้สุนัข 3,500 ตัว เป็นสุนัขลากเลื่อน (Sled dogs) พันธุ์เบอร์นาร์ดเป็นสุนัขต่างในการบรรทุกปืนกลผ่านแนวเทือกเขาแอลป์ไปยังกองกำลังแนวหน้าในพื้นที่ภูเขา ในปี ค.ศ. 1914 กองทัพเบลเยียมใช้สุนัขลากเกวียนบรรทุกปืนกล กระสุน และเสบียง
กองทัพฝรั่งเศสใช้สุนัขตัวเล็กในการจับหนูในสนามเพลาะด้วย และยังใช้ สุนัขเพื่อส่งกําลัง (Ammunition carrier) และสุนัขนําสาร (Messengers dogs) โดยนายทหารในกองทัพชื่อ พันเอกหลุยส์ มูฟเลต์ และร้อยโทเรอเน ฮาส ได้รับภารกิจลับให้ใช้สุนัขลากเลื่อน 450 ตัว พันธุ์ Alaskan Malamute ขนส่งอุปกรณ์สงคราม อาหาร และผู้บาดเจ็บเดินทาง 10,000 กิโลเมตร ข้ามทวีปอเมริกาเหนือ มหาสมุทรแอตแลนติก ไปยัง Vosges
ส่วนกองทัพรัสเซียใช้สุนัขเพื่อหาข่าว ทางด้านสหรัฐอเมริกาขณะนั้นยังไม่มีการจัดตั้งหน่วยสุนัขสงคราม แต่ได้ยืมสุนัขสงครามของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเบลเยี่ยมมาใช้เป็นสุนัขส่งคนไข้
ภาพ : สุนัขกาชาดถูกฝึกเพื่อค้นหาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ โดยแบกถุงเสบียงที่บรรจุอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อให้ผู้บาดเจ็บสามารถรักษาตัวเองได้สุนัขเหล่านี้ยังถูกฝึกให้คอยอยู่เคียงข้างผู้ที่กำลังจะเสียชีวิต  ที่มา : https://allthatsinteresting.com/mercy-dogs
ภาพ : สุนัขสองตัว กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความแข็งขัน มุ่งมั่น ช่วยแจ้งเตือนการใช้แก๊สพิษ และขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่มา : https://www.eurasiareview.com
ภาพ : สุนัขกำลังเฝ้ายามให้กับทหารที่หลับพักผ่อน ที่มา : https://www.eurasiareview.com
ภาพ : สุนัขส่งสารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกใช้เพื่อวางสายโทรศัพท์ โดยติดม้วนลวดไว้ที่หลังของสุนัข ที่มา : https://www.eurasiareview.com
ภาพ : สุนัขลากเลื่อนในกองทัพฝรั่งเศส ในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1914 กัปตันหลุยส์ โจเซฟ มูฟเฟลต์และร้อยโทเรอเน โรเบิร์ต ฮาส ซึ่งเคยทำงานเป็นนักขุดทองในอลาสกา ทราบดีว่าสุนัขลากเลื่อนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการป้องกันฤดูหนาวที่เลวร้ายอีกครั้ง จึงโน้มน้าวกองทัพฝรั่งเศสให้ใช้สุนัขลากเลื่อนขนส่งอาวุธ ที่มา : https://dogs-in-history.blogspot.com
ในสนามรบหากทหารได้รับบาดเจ็บสาหัส สุนัขจะอยู่เคียงข้างเพื่อปลอบโยนขณะที่พวกเขาเสียชีวิต เป็นขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหาร ความสำคัญทางจิตวิทยาของสัตว์ที่ช่วยปลอบโยนทหารในกองทัพเป็นสิ่งที่ไม่ควรถูกละเลย สุนัขมักรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของมนุษย์ สุนัขมาสคอต (Mascots) จึงมีความสำคัญมากในช่วงสงคราม
ภาพ : จ่าสตับบี้ สุนัขมาสคอตของกรมทหารราบที่ 102 (สหรัฐอเมริกา) ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาเข้าร่วมใน 17 สมรภูมิรบบนแนวรบด้านตะวันตก เขาได้ช่วยเหลือหน่วยกรมทหารของเขาจากการโจมตีแก๊สมัสตาร์ด คอยปลอบประโลมต่อผู้บาดเจ็บ และมีการกล่าวถึงว่าครั้งหนึ่งเคยจับสายลับทหารเยอรมันมาได้โดยงับขากางเกงไว้ไม่ยอมปล่อยจนทหารอเมริกันพบเข้าและพาตัวไป ที่มา : https://en.wikipedia.org
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ทหารหลายนายกลับมาด้วยสภาพที่ตาบอด ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากแก๊สพิษ แพทย์ชาวเยอรมัน ชื่อ ดร.เกอร์ฮาร์ด สตอลลิง จึงมีความคิดที่จะฝึกสุนัขเพื่อช่วยเหลือผู้พิการ และในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1916 ได้เปิดโรงเรียนสอน สุนัขนำทางสำหรับคนตาบอด (Guide Dog) แห่งแรกของโลกในเมืองโอลเดนเบิร์ก เพื่อจัดหาและฝึกสุนัขให้กับทหารผ่านศึก
สุนัขได้พิสูจน์คุณค่าของตัวพวกเขาต่อมนุษยชาติในหลายบทบาท ภาพลักษณ์ความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ และภักดี ได้เผยแพร่ออกไปทั่วโลก พวกเขายังกลายเป็นดารานักแสดงอีกด้วย
โดยเริ่มต้นจาก ลี ดันแคน ทหารอเมริกัน ได้นำสุนัขที่รอดชีวิตในสงคราม ชื่อ รินตินติน (Rin Tin Tin) เป็นสุนัขพันธุ์ เยอรมันเชพเพิร์ด ที่ถูกพบในสภาพตื่นตระหนกจากเสียงระเบิด เมื่อ ชาร์ลส โจนส์ ผู้กำกับภาพยนตร์ พบเจ้ารินตินติน จึงนำมาแสดงภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1922 – 1932 ทำให้สุนัขในฐานะสัตว์เลี้ยงเริ่มปรากฏตัวในสื่อต่างๆ เช่นภาพยนตร์ โฆษณา หนังสือ นิตยสาร เกิดภาพลักษณ์ของสุนัขช่วยชีวิตทหาร ช่วยชาติให้พ้นจากภัยสงคราม เกิดการเปลี่ยนแปลงมุมมองจากสัตว์ใช้งานไปสู่สัตว์ที่ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ชาติ
ภาพ : ริน ตินติน บนภาพโฆษณาภาพยนต์การกลับมาของรินตินติน วันที่ออกอากาศ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2500 ที่มา : https://www.metacritic.com/tv
นอกจากนี้สุนัขยังถูกใช้ใน การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ชักนำให้เหล่าชายหนุ่มสมัครเป็นทหารเข้าร่วมสงครามอีกด้วย
ภาพ : โปสเตอร์เชิญชวนให้เหล่าชายหนุ่มเข้าร่วมรบ เขียนว่า “แม้กระทั่งสุนัขยังเข้าร่วมรับใช้ชาติ แล้วทำไมคุณยังไม่เข้าร่วมกับกองทัพล่ะ” ที่มา : Moody, Mildred (designer), Galloway Litho Co San Francisco (printer) circa 1914 – 1918
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ละกองทัพได้ตระหนักถึงประโยชน์ของสุนัข ทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะมีการใช้สุนัขในการทหารกว่า 250,000 ตัว สุนัขมีบทบาทใหม่ในการทดลองทางการแพทย์ (Experiment) ทดลองกับสัตว์ทำให้แพทย์สามารถทดลองยารักษาโรคชนิดใหม่ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์
ในปี ค.ศ. 1924 สภาทหารปฏิวัติแห่งสหภาพโซเวียตได้อนุมัติการใช้สุนัขเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร เช่น การกู้ภัย การปฐมพยาบาล การสื่อสาร การติดตามทุ่นระเบิด การขนส่งอาหาร ยา ขนส่งทหารที่ได้รับบาดเจ็บบนรถเลื่อน และการทำลายเป้าหมายของศัตรู เมื่อกองทัพแดงของโซเวียตพยายามทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งการรุกคืบของเยอรมันที่แนวรบด้านตะวันออก ระหว่างปี ค.ศ. 1942 โรงเรียนฝึกสุนัขส่วนใหญ่เน้นที่การผลิต สุนัขต่อต้านรถถัง (Anti-tank dogs) กองทัพแดงส่งสุนัขไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ ประมาณ 40,000 ตัว
ต่อมาการใช้สุนัขต่อต้านรถถังของกองทัพแดงลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสุนัขมักเกิดความสับสนระหว่างรถถังของโซเวียตกับรถถังของเยอรมัน และโรงเรียนฝึกอบรมได้เปลี่ยนมาผลิตสุนัขค้นหาและส่งทุ่นระเบิดซึ่งมีความจำเป็นมากกว่า อย่างไรก็ตาม การฝึกสุนัขต่อต้านรถถังยังคงดำเนินต่อไปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1996 จึงเลิกโครงการฝึกสุนัขต่อต้านรถถังไป
ภาพ : สุนัขต่อต้านรถถังของรัสเซียเป็นสุนัขที่ถูกสอนให้ขนวัตถุระเบิดขึ้นรถถัง สุนัขได้รับการฝึกให้ทิ้งระเบิดแบบจับเวลาแล้วล่าถอย ที่มา : https://www.reddit.com
สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาได้เริ่มพัฒนาสุนัขมาใช้ในสงครามเอง คือ หลังจากที่ถูกญี่ปุ่นโจมตีที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ องค์กรพลเรือนที่ชื่อว่า Dogs for Defense และโครงการ War Dog Program ที่ดำเนินการโดยกองทัพบกสหรัฐฯ และกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้วางรากฐานโครงการนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1942 ซึ่งเรียกกันโดยไม่เป็นทางการว่า K-9 Corps ได้เรียกสุนัขประมาณ 11,000 ตัว ซึ่งได้รับการฝึกจากผู้ฝึกสุนัขในกองทหารของกองทัพบกที่ศูนย์แห่งหนึ่งในเมืองฟรอนต์รอยัล รัฐเวอร์จิเนีย โปรแกรมนี้นำไปสู่การฝึกสุนัขสำหรับบังคับใช้กฎหมายด้วย
กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นได้รับสุนัขประมาณ 25,000 ตัวจากเยอรมนีซึ่งเป็นพันธมิตร และจัดตั้งโรงเรียนฝึกสุนัขหลายแห่งในญี่ปุ่น และอีกแห่งในจีนที่เมืองหนานจิงในปี ค.ศ. 1943
ในช่วงที่กองทัพจีนทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่นกองทัพที่นำโดยพรรคก๊กมินตั๋ง (國民黨) ร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน (中国共产党) กองทัพจีนจึงได้ใช้สุนัขทหารในการรบเป็นครั้งแรก ขณะนั้นทีมพิเศษสุนัขทหารที่ก่อตั้งโดยกองทัพเส้นทางที่ ๘ ได้บุกโจมตีค่าย ของผู้รุกรานชาวญี่ปุ่นและสกัดกั้นเสบียงทางทหารของญี่ปุ่นได้
แต่ทว่าในยุคผู้นำเหมา เจ๋อตง (毛泽东) การมีสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งต้องห้าม โดยชี้ว่าเป็นวิถีชีวิตฟุ้งเฟ้อแบบชนชั้นกลาง การเลี้ยงสุนัขเป็นสิ่งที่ถูกห้าม ซึ่งให้เหตุผลว่าสุนัขกินทรัพยากรอาหารที่มีจํากัดของประเทศมากเกินไป การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงจึงเป็นสิ่งผิดกฎหมายมาจนยุคทศวรรษที่ 1980 จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เปลี่ยนผู้นำ ในยุคของเติ้ง เสี่ยวผิง (邓小平) ปี ค.ศ. 1979 มีการเปิดประเทศรับแนวคิดเทคโนโลยีทางการทหารจากต่างประเทศเข้ามาในจีน ทำให้พัฒนาการการใช้สุนัขทหารของจีนเริ่มพัฒนาต่อมาอีกครั้ง
ปัจจุบันกองทัพของสาธารณรัฐประชาชนจีนก็มีพัฒนาพันธุ์สุนัขใช้งานเองได้แก่ พันธุ์คุนหมิง (昆明犬) เพื่อฝึกใช้งานในการปฏิบัติการต่างๆ เช่น ปฏิบัติการลาดตระเวนพิเศษ (特种侦察行动中), ปฏิบัติการโจมตีสงครามพิเศษ (特战打击行动中), การแทรกซึมของปฏิบัติการพิเศษ (特战渗透中 ), ปฏิบัติการพิเศษต่อต้านการก่อการร้าย (特战队员进行反恐防爆安检时), ปฏิบัติการกู้ภัย (营救作战中) และ การปฏิบัติการทางจิตวิทยาพิเศษ (执行心理威慑和心理支援任务)
การแข่งขันอวกาศ (Space race) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตได้ปล่อยดาวเทียมสปุตนิก 2 ขึ้นไปบนอวกาศ ในปี ค.ศ. 1957 ได้ส่งสิ่งมีชีวิตขึ้นไปด้วย นั่นก็คือสุนัขชื่อ ไลก้า นับเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่ได้ขึ้นไปสำรวจอวกาศ แม้ว่าไลก้าจะตายบนยานดาวเทียม แต่การขึ้นสู่อวกาศของสิ่งมีชีวิตครั้งนั้นก็นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญของมวลมนุษย์ชาติ
ภาพ : ไลก้า (อังกฤษ: Laika; รัสเซีย: Лайка, มีความหมายตามตัวอักษรว่า "ช่างเห่า" สุนัขอวกาศโซเวียต ที่กลายเป็นสัตว์ตัวแรกที่โคจรรอบโลก ที่มา : space.com
ในสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐฯ ส่งสุนัขทหารปฏิบัติการ 5,000 ตัว จนปรากฏวีรกรรมของสุนัขขึ้นเมื่อ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1966 สุนัขชื่อ “นีโม” ผู้บังคับสุนัขชื่อ พลฯ โรเบิร์ด โทนเบิก เข้าปฏิบัติการต่อสู้ขัดขวางพวกเวียดกง 4 คน ที่บุกรุกเข้าโจมตี ฐานบินตันซอนนุตใกล้กรุงไซงอน ผลปรากฏว่านีโมต้องสูญเสียตาข้างขวาในการต่อสู้ขัดขวางในครั้งนั้น ส่วนผู้บังคับสุนัขบาดเจ็บสาหัสแต่สามารถรักษาหน้าที่ได้สำเร็จ
นีโม ได้รับเหรียญกล้าหาญ ได้เลื่อนยศเป็น พันตรี และกองทัพสหรัฐฯ ได้สร้างอนุสรณ์สถานให้เขาที่ฐานทัพอากาศลัคแลนด์ ซึ่งฐานทัพอากาศลัคแลนด์เป็นสถานที่ที่ใช้ฝึกสุนัขทหารสำหรับใช้ในกองทัพ ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ มีโรงเรียนสุนัขทหารที่สำคัญอยู่ที่ฐานทัพอากาศลัคแลนด์ เท็กซัส, ฟอร์ทกอร์ดอน และฟอร์ทเบนนิ่ง จอเจีย ฐานทัพอากาศ คาเดน่า โอกินาวา ญี่ปุ่น และฐานทัพอากาศววีสบาเดน เยอรมันนี
กองทัพสหรัฐฯ ได้ฝึกสุนัขทหารใช้งานหลายหน้าที่ อาทิ สุนัขค้นหาหน้าที่พิเศษ, สุนัขต่อสู้สะกดรอย, สุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิด, สุนัขลาดตระเวนและตรวจค้นยาเสพติด , สุนัขลาดตระเวนและตรวจค้นวัตถุระเบิด, และ สุนัขปฏิบัติงานหลายหน้าที่ สุนัขปฏิบัติงานหลายหน้าที่นี้จะถูกใช้งานโดยหน่วยรบพิเศษ ในปี ค.ศ. 2011 มีสุนัขทหารของสหรัฐฯ กว่า 600 ตัวที่เข้าร่วมอย่างแข็งขันในความขัดแย้งในอิรักและอัฟกานิสถาน
หน่วยบัญชาการยุทธการพิเศษสหรัฐ (The United States Special Operations Command : SOCOM) ของกองทัพสหรัฐฯ ยังใช้สุนัขในการโจมตีเพื่อจับกุมศัตรูหรือเชลยที่กำลังหลบหนี หรือเพื่อค้นหาพื้นที่ที่ยากหรืออันตรายเกินไปสำหรับมนุษย์ อย่างไรก็ตามการใช้งานสุนัขทหารในพื้นที่ตะวันออกกลางเป็นประเด็นที่อ่อนไหว เพราะสำหรับชาวมุสลิมแล้ว มีความเชื่อว่าน้ำลายของสุนัขไม่สะอาด ในระหว่างปฏิบัติการเนปจูนสเปียร์ (Operation Neptune Spear) กองทัพสหรัฐฯ ใช้สุนัขทหารชื่อไคโรจึงถือเป็น “การดูหมิ่นครั้งสุดท้าย” ต่อบินลาเดนด้วย
ภาพ : สุนัขทหารชื่อไคโร กับ ผู้บังคับสุนัข ในปฏิบัติการเนปจูนสเปียร์ (Operation Neptune Spear) ที่มา : https://sofrep.com
สำหรับกองทัพของประเทศไทยได้รับการสนับสนุนการใช้งานสุนัขทหารครั้งแรกจากกองทัพสหรัฐ เมื่อกองทัพสหรัฐฯ มาตั้งฐานทัพที่ประเทศไทยเพื่อสู้รบกับในสงครามเวียดนามเมื่อปี พ.ศ. 2511 กองทัพไทยเล็งเห็นความสำคัญและประโยชน์ของสุนัขทหารซึ่งมีคุณสมบัติ พิเศษทางประสาทสัมผัสมาช่วยเป็นเครื่องมือสนับสนุนการปฏิบัติการทางราชการของเหล่าทัพต่างๆ ทั้งด้านยุทธวิธี การระวังป้องกันและการรักษาความปลอดภัย
กองทัพไทยจึงได้เริ่มจัดตั้งโครงการสุนัขทหารขึ้นเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 ณ ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่9 ทรงพระราชดำริให้ กรมการสัตว์ทหารบก รับโครงการสุนัขทหารสงครามกองทัพบก และได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการ เพื่อต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์
ปัจจุบันกิจการสุนัขทหารของกองทัพไทย เป็นส่วนงานอยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์การสุนัขทหาร ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อกรมการสัตว์ทหารบก ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา
ภาพ : พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารและทอดพระเนตรสุนัขสงคราม ที่ปฏิบัติงาน ณ บ้านปอน อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2514 ที่มา : หนังสือ การปฏิบัติการของสุนัขทหาร กรมยุทธศึกษาทหารบก
อ้างอิง
1. Diana. (2016). Dogs in Ancient Warfare. Retrieved Feb 24, 2025, from https://dogs-in-history.blogspot.com/2016/07/dogs-in-ancient-warfare_13.html
2. World History Encyclopedia Chanel. (2021). The Battle of Pelusium: a Persian Victory Decided by Cats. Retrieved Jan 27, 2025, from https://www.youtube.com/watch?v=Gb68xjnTkuw
3. CAPT. Paula Crawford-Gamble NC, USN (Ret.) (2024). Warrior Dogs Dogs of war ancient and modern. Retrieved Mar 4, 2025, from https://www.eternalsoldier.org/warrior-dogs
4. Schilp, Jill Lenk. (2019). "The Mercy Dogs of World War I". Dogs in Health Care: Pioneering Animal-Human Partnerships. Jefferson, North Carolina USA: McFarland & Company. pp. 13–24. ISBN 978-1-4766-7394-3.
5. The Birmingham Mail. (2014). "The Dogs of War". Retrieved Mar 13, 2025, from https://en.wikipedia.org/wiki/Mercy_dog
6. Jack Waid. (2020). The History of Military Sled Dogs in Alaska. Retrieved Mar 11, 2025, from https://explorenorth.com/library/military/military_sled_dogs-alaska.html
7. The national WWI museum and memorial. (2020). Dogs in WWI Man’s Best Friend During the War. Retrieved Mar 11, 2025, from https://www.theworldwar.org/learn/about-wwi/dogs-wwi
8. International Guide Dog Federation. (2024). Guide Dogs Through the Ages. Retrieved Mar 13, 2025, from https://www.igdf.org.uk/guide-dogs/history-of-guide-dogs/
9. Kathleen Kuiper. (2025). Rin Tin Tin. Retrieved 11 Mar 2025, from https://www.britannica.com/topic/Rin-Tin-Tin
10. Soviet-empire. (2012). Anti-Tank Dog Mine. Retrieved Mar 11, 2025, from https://web.archive.org/web/20190708155840/http://www.soviet-empire.com/1/military/anti-tank/dog_mine/
11. Ranny Green. (2022). Military Working Dogs Through History Retrieved Mar 11, 2025, from https://www.akc.org/expert-advice/news/war-dogs-military-history/
12. the Department of the Air Force of the United States. (2021). Technical Training Military Working Dog Handler Course. San Antonio: 341st Training Squadron JBSA-Lackland.
13. Business Insider. (2021) How Military Dogs Are Trained | Boot Camp |. Retrieved Aug 18, 2024, from https://www.youtube.com/watch?v=xit5GR_Nm10
14. โรงเรียนสุนัขทหาร ศูนย์การสุนัขทหาร. (๒๕๖๗). ประวัติความเป็นมาในการใช้สุนัขทหาร. เข้าเมื่อ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๘, จาก http://www.mwd-school.com/mwds/images/PDF/mwds.pdf
โฆษณา