4 เม.ย. เวลา 09:45 • ความคิดเห็น

พนักงาน คือ “ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร”

ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันในตลาดแรงงานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง “การรักษาพนักงานที่มีความสามารถและประสบการณ์ไว้กับองค์กรกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้บริหารและผู้นำองค์กรทั่วโลก”
หลายองค์กรต้องเผชิญกับปัญหาการลาออกของพนักงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังเพิ่มต้นทุนในการสรรหาและฝึกอบรมพนักงานใหม่ด้วย
บทความนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์จริงของการสัมภาษณ์พนักงานที่ลาออก ซึ่งนำเสนอ 5 ข้อค้นพบสำคัญที่สะท้อนถึงสาเหตุที่แท้จริงเบื้องหลังการตัดสินใจลาออก และเป็นแนวทางให้องค์กรสามารถปรับปรุงการบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อรักษาพนักงานไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปนี้คือ 5 ข้อค้นพบที่ผู้บริหารควรให้ความสำคัญ
1. การลาออกทางจิตใจเกิดขึ้นก่อนการลาออกจริง
* พนักงานมักจะสูญเสียความหวังและแรงจูงใจในการทำงานนานก่อนที่จะยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ
* การลาออกทางจิตใจนี้เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญที่ผู้จัดการควรสังเกตเห็น เช่น การลดลงของผลงาน การขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน หรือการไม่เข้าร่วมกิจกรรมขององค์กร
* หากหัวหน้างานสามารถรับรู้ถึงสัญญาณเหล่านี้และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที อาจช่วยให้พนักงานกลับมามีแรงจูงใจและตัดสินใจอยู่ต่อกับองค์กรได้
2. การชื่นชมพนักงานเมื่อกำลังจะลาออกนั้นสายเกินไปเสมอ
* การแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจพนักงานควรเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่รอจนถึงวันที่พนักงานตัดสินใจลาออก เพราะในตอนนั้นมันอาจสายเกินไป
* การชื่นชมที่ทันท่วงทีและจริงใจสามารถเพิ่มขวัญกำลังใจและความผูกพันของพนักงานต่อองค์กรได้
* หัวหน้าควรหาโอกาสแสดงความชื่นชมผลงานและความพยายามของพนักงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ผ่านการให้คำติชมเชิงบวกหรือมอบรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี
3. เงินไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้พนักงานอยู่หรือไปเสมอ
* แม้ว่าเงินเดือนและสวัสดิการจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้พนักงานตัดสินใจอยู่หรือลาออกจากองค์กร
* ปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน รวมถึงโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตในสายอาชีพ มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน
* องค์กรควรสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและสนับสนุนการพัฒนาตนเองของพนักงาน เพื่อเพิ่มความพึงพอใจและลดอัตราการลาออก
4. การพัฒนาอาชีพเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาพนักงาน
* ทุกตำแหน่งงานย่อมมีจุดอิ่มตัวที่พนักงานอาจรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถเติบโตหรือพัฒนาต่อไปได้ หากองค์กรไม่สามารถมอบโอกาสในการก้าวหน้าในสายอาชีพ พนักงานอาจตัดสินใจลาออกเพื่อแสวงหาความท้าทายใหม่ๆ
* ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับการวางแผนเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนสำหรับพนักงาน เช่น การมอบหมายงานที่ท้าทายยิ่งขึ้น การจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ๆ หรือการพิจารณาเลื่อนตำแหน่ง เพื่อให้พนักงานรู้สึกถึงคุณค่าและมีเป้าหมายในระยะยาว
5. ความไว้วางใจที่เสียไปยากที่จะฟื้นคืน
* ความไว้วางใจเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน หากพนักงานรู้สึกว่าความไว้วางใจถูกทำลาย เช่น จากการสื่อสารที่ไม่โปร่งใสหรือการไม่รักษาคำมั่นสัญญา การฟื้นฟูความสัมพันธ์นั้นอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง
* หัวหน้างานควรสร้างวัฒนธรรมแห่งความซื่อสัตย์และความโปร่งใส โดยการสื่อสารอย่างเปิดเผยและรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับพนักงาน เพื่อรักษาความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว
“พนักงานคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร”
การรักษาพนักงานไว้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการสรรหาและฝึกอบรม แต่ยังช่วยรักษาความรู้และประสบการณ์ที่สำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร ผู้บริหารและผู้นำองค์กรควรให้ความสำคัญกับการดูแลและพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงาน ชื่นชมผลงานอย่างสม่ำเสมอ มอบโอกาสในการเติบโต และรักษาความไว้วางใจให้มั่นคง
สุดท้ายนี้ ควรตระหนักว่า "ความภักดีเป็นถนนสองทาง" องค์กรที่ให้คุณค่าและความสำคัญกับพนักงาน ย่อมได้รับความภักดีและการทุ่มเทจากพนักงานกลับคืนมาอย่างแน่นอน
#วันละเรื่องสองเรื่อง
โฆษณา