5 เม.ย. เวลา 10:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ

วิกฤติเศรษฐกิจโลกจากนโยบายการค้าและภาษีของ Trump

(พวกเราเตรียมพร้อมอย่างไร?)
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นโยบายการค้าของประธานาธิบดี Donald Trump ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก การประกาศใช้ “Reciprocal Tariff Act” ได้จุดชนวนให้เกิดสงครามการค้าครั้งใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ “Great Depression” ที่โลกไม่ได้พบเห็นมานานกว่า 95 ปี
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปสำรวจผลกระทบของนโยบายนี้ต่อเศรษฐกิจโลกและประเทศไทย พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการรับมือกับวิกฤตินี้
บริบททางประวัติศาสตร์บอกอะไรเราบ้าง?
ย้อนกลับไปในปี 1930 สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย “Smoot-Hawley Act” ซึ่งเป็นการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศอย่างมาก ส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศลดลงอย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ “Great Depression” ที่กินเวลานานถึง 10 ปี
ในช่วงนั้น GDP ทั่วโลกหดตัวลง 15-20% และการค้าโลกลดลงถึง 50% เหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่ความตึงเครียดทางการเมืองและสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด
สถานการณ์ปัจจุบัน และสิ่งที่ Trump และอเมริกาเอากลับมาใช้กับโลก?
Trump ได้ประกาศใช้ “Reciprocal Tariff Act” ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับ “Smoot-Hawley Act” โดยกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ในอัตราที่สูง เช่น
* จีน = 34% (รวมกับภาษีเดิมเป็น 54%)
* เวียดนาม = 46%
* ไทย = 36%
* ญี่ปุ่น = 24%
* เกาหลีใต้ = 25%
* สหภาพยุโรป = 20% เป็นต้น
นโยบายนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกในตลาดการเงินทั่วโลก ดังที่เห็นได้จากการที่ดัชนี Dow Jones ลดลง 4,000 จุด และ Nasdaq ลดลงกว่า 22% ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน หุ้นเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Tesla, Nvidia, Meta, Amazon, Alphabet, Apple, และ Microsoft ต่างก็ร่วงลงอย่างหนัก
การตอบสนองต่อนโยบายนี้ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีความหลากหลาย บางประเทศเลือกที่จะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เช่น จีนที่ประกาศภาษีนำเข้า 34% เช่นกัน ขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนามและไทย เลือกที่จะเจรจาเพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน การแบ่งขั้วเช่นนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระเบียบการค้าโลกที่เคยเป็นมากว่าเกือบร้อยปี จากโลกที่มีการค้าเสรี กลายเป็นโลกที่แบ่งเป็นขั้วอำนาจการค้าที่แตกต่างกัน
ผลกระทบต่อประเทศไทย?
สำหรับประเทศไทย ซึ่ง “เราประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก” นโยบายนี้ย่อมส่งผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และสินค้าเกษตร นอกจากนี้ ยังอาจมีผลกระทบทางอ้อม เช่น การที่ประเทศอื่นๆ อาจหันมาทุ่มตลาดในภูมิภาคอาเซียนแทน ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
“แนวทางรับมือ: หลัก "3 อยู่" - ตามที่ ดร. สันติธาร เสถียรไทย สรุปไว้เป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก”
เพื่อรับมือกับวิกฤตินี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน โดยสามารถใช้หลัก "3 อยู่" ได้แก่ “อยู่รอด”, “อยู่เป็น” และ “อยู่ยืน”
1. “อยู่รอด" = รัฐบาลควรตั้ง "War Room ด้านการค้าระหว่างประเทศ" ขึ้นโดยด่วน เพื่อประสานงานระหว่างกระทรวงต่างๆ และเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพื่อหาทางลดผลกระทบ ทีมงานควรประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา เช่น การทูต กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และภาคเอกชน
2. "อยู่เป็น"= เตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นต่อไป เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ และมีระบบเตือนภัยล่วงหน้าให้กับภาคเอกชน เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที
3. "อยู่ยืน" = มองหาโอกาสใหม่ๆ เช่น การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนและประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและการวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าไทย นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการสร้างแบรนด์ไทยและการออกแบบเพื่อยกระดับสินค้าไทยในตลาดโลก
เราจะปรับตัวได้ยังไง?
ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับตัวและมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อให้สามารถ “อยู่รอด อยู่เป็น และอยู่ยืน” ได้
ในระยะยาว การเตรียมพร้อมและการตอบสนองอย่างทันท่วงทีจะเป็นกุญแจสำคัญในการผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ทั้งนี้ รัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองในอนาคต
#วันละเรื่องสองเรื่อง
โฆษณา