11 เม.ย. เวลา 03:44 • นิยาย เรื่องสั้น
มหาวิทยาลัยโมนาช

จากบ้านหินกองสู่ Clayton #2/14

[-------จิตที่โลดเถลิง------]
“น้าจิ๊บ ๆ อาเขาจะซื้อที่ของน้าจิ๊บที่สระบุรีน่ะ น้าจิ๊บรีบติดต่อเขานะ”
เหมือนเวลาหยุดอยู่ตรงนั้น
สายตามองที่จอหนังเห็นภาพสุดท้ายเป็นพระเอกหรือนางเอกก็ไม่รู้กำลังขี่ม้ากระโดดข้ามขอนไม้ในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังจำไม่ได้ว่าหนังเรื่องอะไร ไปดูกับใครบ้าง ดูที่โรงไหน
สมองตอนนั้นตื่นเตลิดไปกับจินตนาการที่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นยังไม่ได้ตกลงกันมั่นเหมาะด้วยซ้ำว่าจะซื้อขายกันยังไงเท่าไหร่
ผมจำอะไรต่อจากนั้นไม่ได้เลยว่าหนังจบยังไง กลับบ้านยังไง ถึงบ้านเมื่อไหร่
จำได้แต่ว่าผมได้โทรกลับไปที่อาคนที่จะซื้อที่ของผมโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะตกลงในข้อเสนอ มีการนัดทำสัญญาและโอนเงินกันอีกหลายวันข้างหน้า แล้วสมองผมก็เริ่มเตลิดอีกรอบ
ย้อนหลังจากเหตุการณ์ในโรงหนังไปประมาณ 5 ปี
จึ๊-มาลัย กิติศรีวรพันธุ์ เพื่อนมัธยมปลายที่เขากำลังเรียนต่อปริญญาโทที่ Sydney ได้ชวนผมไปเรียนต่อที่นั่น
เขาบอกว่าหาเงินไปแค่สองแสนเท่านั้นก็พอ พอไปถึงแล้วไปหางานทำที่นั่นก็พอจะอยู่ได้โดยทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
ผมพยายามหาเงินจากหลาย ๆ แหล่งด้วยการยืมเงินคนรู้จัก ผ่านไปหลายเดือนก็ยังได้แค่หกหมื่นบาท แล้วมันก็จบด้วยการคืนเงินและล้มเลิกความคิดที่จะไปเรียนเมืองนอกในตอนนั้น
[------เตรียมตัว------]
เงินยังไม่ทันได้รับ แต่แผนทั้งในหัวและบนกระดาษนี่ไปไกลลิบแล้ว
คิดว่าจะเรียนที่ไหนดี ต้องเตรียมอะไรบ้าง จะไปเจออะไรบ้าง ฯลฯ
อย่างแรกที่ผมเตรียมคือเลือกที่เรียน โดยผมไปปรึกษาที่ศูนย์การศึกษาของแห่งหนึ่งแถวสยามสแควร์ ได้ไปเจอคนดังในเวลานั้นคือ Geoffrey Blyth
ตอนนั้นเขาทำช่วงนึงของรายการ AEI for You ออกช่อง 9 เป็นคนให้ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ เจฟฟรี่แนะนำให้สมัครที่ Monash University, Melbourne, Australia ตอนนั้นข้อมูลมันลายตาไปหมด เอาก็เอาวะ โมนาชก็โมนาช
คู่มือที่ได้จาก IDP เมื่อปี 2537
ขั้นต่อไปก็คือต้องสอบ IELTS ให้ได้ตามเกณฑ์ของ u. อันนี้แหละยาก
ถ้าเคยอ่านประวัติผมก็จะรู้ว่าความรู้ภาษาอังกฤษของผมอยู่ระดับอ่อนแอ
ตอน ม.ศ.5 ผมได้รับความปราณีจากครูประจำวิชาภาษาอังกฤษให้เข้าสอบได้ ทั้งที่เวลาเรียนอาจจะไม่พอเพราะโดดเรียนบ่อย การบ้านไม่เคยส่ง แต่ถึงจะได้เข้าสอบ ผลก็เป็นไปตามคาดก็คือเกรดออกมา 0
เอาเกรดตอน ม.ศ.5 มาตอกย้ำ  (ที่ขีดเส้นแดงคือ drop)
ปีพ.ศ. 2537 ตอนนั้น ผมทำงานเป็น Senior Programmer อยู่ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง ผมก็ใช้เวลาในตอนเย็นของวันทำงาน และกลางวันเสาร์-อาทิตย์เข้าเรียนเตรียมสอบ IELTS ที่ศูนย์ IDP ที่ตึก CP สีลม ที่นี่ผมได้เรียนชั้นเดียวกับ เปิ้ล-พรรณรายณ์ แต่ตอนนั้นไม่ได้ทำความรู้จักกัน ไม่ได้แม้แต่สบตากันด้วยซ้ำ
ช่วงเวลาว่างก็หาซื้อเสื้อผ้าและของใช้จุกจิกเอาไปใช้เมืองนอก ซื้อไปก็ฝันหวานไป ช่างสุขเสียกระไร
[------ซึ้งเหมือนกันนะ------]
พอรู้ว่ามีเงินไปแน่ ๆ ผมก็ป่าวประกาศให้เพื่อนรับรู้ทั้งที่บริษัทเงินทุนฯ และที่บริษัทประกันภัยที่ผมยังเกาะกลุ่มกินข้าวกับเพื่อนที่นี่อย่างเหนียวแน่นอยู่
มีการเลี้ยงส่งจากเพื่อนหลายกลุ่มแบบเล็ก ๆ บ้าง ทั้งพวกเพื่อนบริษัทเก่าผมที่เคยทำงาน เพื่อนที่บริษัทประกันภัย, เพื่อนบริษัทเงินทุน, และเพื่อนมัธยม
แต่ที่จัดกันแบบเอาจริงเอาจังก็คือเพื่อนกลุ่มประกันภัยที่ยกกันไปเลี้ยงที่พัทยาราว 4 คันรถเก๋ง
มีการหลอกล่อให้ผมออกไปซื้อของข้างนอกแล้วเพื่อนที่รออยู่ก็เตรียมดับไฟที่ห้อง เตรียมเค้กไว้ และเตรียมเปิดเพลง “จากเพื่อนถึงเพื่อน”
มีเพื่อนเดินออกไปพร้อมผมคนนึง มันพก walkie talkie ไปด้วย ได้ยินมันบอกพวกที่อยู่ในห้องเป็นระยะ ๆ ว่าถึงไหนแล้ว ผมก็สงสัยว่ามันจะบอกทำไมวะ
พอถึงห้องก็แหม.... ถูกต้อนรับด้วยเสียงเพลงและเค้ก ได้แต่ยิ้มเขิน ๆ ไปหนึ่งที
ซึ้งซะไม่มีอ่ะ
[------เที่ยวเมืองนอกอุ่นเครื่อง-----]
ใกล้ออกเดินทางพวกเพื่อนที่ประกันภัยก็นัดกันเที่ยวมาเลเซีย
ทัวร์นี้จัดโดยหน่วยงานไหนจำไม่ได้ของ ม.ธรรมศาสตร์ ราคา 9,000 บาทต่อคน เป็นการเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกของพวกเรา กินเวลาตั้งแต่ 9 – 15 เมษายน 2537
9 เม.ย.37
กลุ่มเรามี 8 คน ประกอบด้วย เงาและแม่, โอ๋, นง, มนตรี, น้อง, แหม่ม, และ ผม
คณะทัวร์ทั้หมดเริ่มออกเดินทางด้วยรถไฟจากหัวลำโพงเวลา 14 นาฬิกา ผมนั่งกับโอ๋ คุยกันแบบไร้สาระกันตั้งแต่บ่ายยันดึกจนคนที่นั่งข้างหน้ารำคาญ
10 เม.ย. 37 ถึงหาดใหญ่ตอน 6 โมงเข้า แวะกินข้าวต้มที่โรงแรมหาดใหญ่แอมบาสซาเดอร์ แล้วเดินทางผ่านด่านสะเดาเข้ามาเลเซีย
พอเริ่มเข้าเขตมาเลย์ก็รู้สึกดีทันที โห.. เราได้มาต่างประเทศแล้ว ถนนเขาก็เรียบดีพอ ๆ กับของไทย บ้านเรือนก็ปลูกห่าง ๆ คล้ายกันกับต่างจังหวัดของเรา
ระหว่างทาง ก็แวะร้านบาติก ซึ่งผมไม่ได้ซื้ออะไร แล้วก็แวะโรงงาน Tumasek Pewter ผมเพิ่งเคยเห็น pewter เป็นครั้งแรก มันสวยสะดุดตามากก็เลยซื้อที่เปิดจดหมาย 1 อัน กับ กริชสำหรับโชว์อีก 1 เล่ม
กริชโชว์ และ ที่เปิดซองจดหมายที่ซื้อมาจากสิงคโปร์ สภาพปี 2568 ยังสวยอยู่
10-15 เมษายน 37 ที่จริงมีรายละเอียดเยอะเหมือนกัน ขอเล่าคร่าว ๆ เอาเฉพาะที่น่าสนใจสำหรับตัวผมเองและผองเพื่อนที่ไปด้วยกันดังนี้
10 เม.ย. น้องเงาโวยวายกับ “ลุงสม” ชายผิวคล้ำร่างผอมแข็งแรง อายุราว 50 กว่า ผมจำไม่ได้ว่าแกเป็นไกด์หลักหรือผู้ช่วยไกด์ น้องเงาโวยวายแกเรื่องอะไรผมก็จำไม่ได้ ประมาณเหมือนกับเรื่องความไร้ประสิทธิภาพของการจัดการทัวร์
แล้วพอวันรุ่งขึ้นคณะเราก็ดังอีก
มนตรีเปิดการฉะกับ “ยายแดง” อีก ยายแดงนี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นไกด์หลักหรือผู้ช่วย จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ผมยังงงอยู่จนบัดนี้ว่าทำไมปล่อยให้น้องทั้งสองคนเปิดศึกกับไกด์เอง ทำไมพวกพี่ ๆ ที่ปากแจ๋ว ๆ หลายคนไม่จัดการเอง
หลังจากสองเหตุการณ์นี้ก็ทำให้กลุ่มของเรารู้สึกเหมือนเป็นพวกมาเฟียยังไงไม่รู้
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ไป ”ปีนัง” ที่นี่ยิ่งเหมือนเมืองนอกที่สุด มีตึกเก่า ๆ ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ บ้านเมืองสะอาด น่าอยู่มาก ที่นี่เองที่คนรวยสมัยก่อนในเมืองไทยนิยมส่งลูกมาเรียน
เป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ได้เข้ากาสิโนที่เก็นติ้งไฮแลนด์
คณะเที่ยว ด้านหลังเป็นเมฆขาวบนเกนติ้ง
อากาศดีมากบนยอดเขา ผมได้เข้าไปโยกสล็อต ตอนแรกได้มา 50 เหรียญแล้วเล่นไป ๆ ก็เสียหมดจากทุน 3 เหรียญมั้ง
ที่น่าประทับใจคือได้เห็น “ผีพนัน” เดินเพ่นพ่าน คนที่เห็นชัดที่สุดว่าถูกผีพนันเข้าสิงก็คือ “ลุงสม” ที่เดิมแกเป็นคนยิ้มง่าย เฮฮา ตอนไปเจอในกาสิโนแกกลับเดินตาแข็ง หน้าเครียด เหมือนหมกมุ่นอะไรบางอย่าง
[-----ผมเป็นคนกินยาก-----]
อาหารในทริปนี้สู้อาหารในเมืองไทยไม่ได้ ตอนอยู่ในมาเลย์เราเจอแต่อาหารท้องถิ่นของเขาที่ผมต้องฝืนกินกันหิว
แต่พอเข้าสิงคโปร์ก็ค่อยยังชั่วที่เริ่มจะมีอะไรเป็นแบบอาหารจีนที่ผมอร่อยกับมัน เช่น คะน้าราดน้ำมันหอย
Credit: noobcook.com/Cincalok
ที่นี่ผมได้เจออาหารแปลกที่น่าสนใจคือ Cincalok ที่ทำจากกุ้ง น่าจะหมักด้วยข้าว-เกลือ และอื่น ๆ รสออกเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ ใกล้เคียงกับกุ้งจ่อมของไทยเรา ถ้าบีบมะนาวซอยพริกสดก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลย ตอนหลังผมไปเจอมันที่ร้านของชำที่ Clayton ด้วย
[------เพื่อนใหม่------]
ทริปนี้ไม่ค่อยได้คุยอะไรกับคนอื่นเท่าไหร่ กลุ่มของเรามี 8 คนก็แย่งกันพูดอยู่แล้ว แถมเป็นกลุ่มมาเฟียก็คงไม่มีใครอยากคบด้วย
แต่พวกเราก็ได้เพื่อนเพิ่มมา 1 คน คือ “พี่หนู” สาวหมวยแว่นร่างผอม
พี่หนูจบเภสัช จุฬาฯ รุ่นพี่ของมนตรี 1 ปี การที่เขามาเที่ยวคนเดียวทำให้ได้พูดคุยกันบ่อย ๆ เพราะเขารู้จักกับมนตรีที่จุฬาฯ อยู่แล้ว พวกเราเรียกเขาว่าพี่หนู ทำให้เขาเข้าใจผิดว่าพวกเรารุ่นเดียวกับมนตรี
ถ่ายที่วัดที่สิงคโปร์ ภาพนี้ถ่ายติด "พี่หนู" โดยไม่ได้ตั้งใจ คนเสื้อเขียวยืนห่าง ๆ ซ้ายมือสุด
พี่หนูเคยเรียกผม “น้อง ๆ ถ่ายรูปให้หน่อย” จนกระทั่งจบทริปเขาก็ยังคิดว่าผมเป็นรุ่นน้องเขา
[-----เรามาเพื่อการนี้------]
พวกเราเริ่มชอปปิงกันจริงจังตอนเข้าสิงคโปร์ในวันที่ 13 เม.ย.
ผมซื้อกล้องถ่ายวีดีโอยี่ห้อ JVC, ซื้อ Franklin Talking Dictionary และก็กางเกงยีนส์, กระเป๋าใส่หนังสือเรียน, เสื้อเชิ้ต และกระเป๋าเดินทาง Samsonite ราคาของกระเป๋าเดินทางคิดเป็นเงินไทยราว 3,400 บาท ซึ่งรุ่นนี้ที่ไทยขาย 8,095 บาท ก็คุ้มดี
สิงค์โปร์ตอนนั้นดูเจริญกว่าไทยมาก นี่มันเมืองนอกชัด ๆ เลยอ่ะ แต่เหมือนที่เที่ยวแทบจะไม่มี ถ้าจะไปอีกก็เพราะไปซื้อของปลอดภาษี
ขากลับบินกลับด้วย Finnair ถึงบ้านตีหนึ่งกว่า
[-----สอบ IELTS ครั้งแรกในไทย------]
จากนั้นผมน่าจะลาออกจากงานในเดือนพฤภาคม 37 ได้รับเลี้ยงส่งจากเพื่อนหลายครั้ง ตอนเย็นก็ไปเรียนเตรียมสอบ IELTS ที่ตึก CP แล้วก็สอบ
26 พ.ค. 37 ผมได้รับผลสอบ IELTS ครั้งแรก ผลคือได้ 5.5 ซึ่งไม่พอสำหรับโมนาชที่ต้องการ 6.0
แต่ก็ถือว่าไม่เลวสำหรับคนที่ทิ้งการเรียนอังกฤษมานานจากที่ได้เกรด 0 ตอนนั้นผมก็หวังว่าหลังจากได้เรียนที่ออสเตรเลียแล้วก็น่าจะสอบผ่าน
ที่จริงตอนนั้นคะแนน IELTS 5.5 ก็สามารถเข้า u. ที่นั่นได้บางแห่ง แต่ก็อยากเข้าโมนาชเพราะตั้งใจไว้แล้ว ก็เลยว่าจะลองดูใหม่ ยังไม่รีบ ไม่ได้คิดว่าจะต้องเรียนสถาบันที่ดัง ๆ เข้ายาก ๆ แค่คิดว่าจะไป “เอามัน” ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอแล้ว
 
การขอวีซ่านักเรียนก็ต้องลงทะเบียนเรียน ผมก็ติดต่อผ่านโรงเรียนภาษา เสียค่าลงทะเบียนของนอมันบี้เป็นเงิน 220 AUD และค่าเรียนภาษาสัปดาห์ละ 240 AUD ผมลงทะเบียนไป 7 เดือน ส่วนค่าหอพักที่นอมันบี้ที่ไปอยู่ 1 เดือน นี่จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่
บัตรนักเรียนที่ออกให้จากเมืองไทยหลังจากจ่ายเงินค่าเรียนภาษาแล้ว
หลังจากสนุกไปกับการเตรียมตัวก็ถึงคราวที่จะบินไกลแล้ว...
5 มิถุนายน 37 ผมออกจากบ้านประมาณเที่ยง มีเพื่อนกลุ่มเงินทุนและกล่มประกันภัยมาส่งคึกคักราวสิบกว่าคน รวมทั้งพี่สาวของผมด้วย
ผมเคยฝันมานานแล้วว่า ถ้าผมได้ไปเมืองนอกผมคงจะใส่สูทสากล และรอให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงรุมกันคล้องพวงมาลัยที่คอ แล้วก็ถ่ายรูปที่ระลึกกัน
คนที่พวงมาลัยเต็มคอคือลุงพี่ชายแม่ที่ไปเรียนอเมริกา น่าจะได้ทุนของตำรวจ ส่วนบรรดาญาติทั้งหลายที่ไปส่งต่างคนต่าง "จัดเต็ม" เพราะถือว่าเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลมาก เดาว่าถ่ายราวปี 2504
และถ้าจะให้ดีก็อยากถ่ายรูปภายในสนามบิน มีเครื่องบินใบพัดพร้อมนางฟ้าประจำเครื่องยืนเป็นฉากหลังให้ด้วย เอาเข้าจริงๆ ก็ลืม
ลุงผมในรูปคนนี้ทั้งรูปหล่อ ทั้งเรียนเก่ง จบนายร้อยตำรวจ ได้ทุนตอนเป็นตำรวจอยู่ ถ้าจบกลับมานี่จะกลายเป็นพระเอกกำลังสองเลย เพราะน่าจะจบรัฐประศาสนศาสตร์ และยังสามารถเป็น "ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา" ได้ด้วย
เครื่องออกจากสนามบินดอนเมือง 16.30 น. แวะที่สนามบินเด็นปาซาร์ ของบาหลีพักนึง ช่วงพักผมก็เดินออกมาซื้อยาสีฟ้นแล้วก็ขึ้นเครื่องต่อ
โฆษณา