6 เม.ย. เวลา 00:49 • หนังสือ

ซีรีย์ ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน

๑. ภูเขาหนีชิวที่งดงาม
ภูเขาหนีชิวที่งดงาม
ในสมัยชุนชิว บ้านเมืองถูกปกครองโดยระบอบศักดินา ประเทศจีนจึงถูกแบ่งออกเป็นแว่นแคว้นให้เหล่าพระประยูรญาติบริหารดูแล แต่ครั้นพระเจ้าจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจวเริ่มเสื่อมอำนาจลง บรรดาเจ้าเมืองจึงเกิดการพิพาทจนกลายเป็นสงครามอยู่มิขาด
สารทฤดู ๕๖๓ ปีก่อนคริสตศักราช หลู่เซียงกงทรงมีพระบัญชาแต่งตั้งให้เมิ่งซุนเมี่ยเป็นแม่ทัพนำกองรถศึกจำนวน ๓๐๐ คันบุกโจมตีเมืองปีหยาง รถศึกขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็วบนหนทางอันทุรกันดาร เสียงเกือกม้าและล้อรถบดกระแทกแผ่นดินจนกึกก้องกัมปนาท ธงชัยโบกสะบัดพัดพลิ้วอย่างน่าเกรงขาม โดยเฉพาะคือธงตราสัญลักษณ์อักษรหลู่ตัวใหญ่ที่ปักตระหง่านอยู่บนรถแม่ทัพ
ครั้นขบวนรถทั้ง ๓๐๐ คันได้เคลื่อนมาถึงนอกกำแพงเมือง ได้เห็นประตูเมืองเปิดอ้าราวกับกำลังคอยใครอยู่ หากแต่ภายในเมืองกลับดูวังเวงเปลี่ยวร้างผู้คนอย่างน่าสยอง ทั้งหมดจึงจัดทัพในลักษณะพร้อมรบ เวลานั้น แม่ทัพเมิ่งซุนเมี่ยลุกขึ้นยืนบนรถศึกอย่างองอาจ หนวดเคราของแม่ทัพปลิวพลิ้วตามสายลมดูสง่า เขาลูบหนวดอันเรียวยาวพลางประเมินสถานการณ์อย่างใช้ความคิด สถานการณ์เช่นนี้ได้ทำให้แม่ทัพเมิ่งผู้ชาญศึกถึงกับตัดสินใจอะไรไม่ถูก
ขณะนั้นขวัญทหารกำลังฮึกเหิม เหล่าทแกล้วต่างส่งเสียงพร้อมบุกจนเอ็ดอึง
เสียงทหารหาญที่รุกเร้าได้ทำให้แม่ทัพเมิ่งยิ่งไม่กล้าตัดสินใจ เวลาที่ผ่านไปจึงประหนึ่งกลองศึกที่กำลังเร้ารัวอย่างคึกคะนอง หลังจากแม่ทัพเมิ่งได้ตรึกตรองอย่างดีแล้ว ได้ชักดาบอาญาสิทธิ์ขึ้นชูผงาดและแผดคำสั่งว่า “พวกเรา บุก !”
รถศึกจำนวนกว่า ๒๐ คันได้บุกทะยานไปข้างหน้า ส่วนพลทหารที่เต็มไปด้วยขวัญกำลังใจต่างถือดาบและโล่ส่งเสียงข่มขวัญศัตรูวิ่งตามหลังรถศึกอย่างเป็นขบวน
หลังจากรถศึกได้บุกเข้าไปในเมืองได้ ๘ คัน ประตูเมืองบานเขื่องก็ไหลเลื่อนลงมาเสียงดังสนั่น ประจวบกับรถคันที่ ๙ แล่นมาถึงพอดี ขุนศึกนายหนึ่งพุ่งลงจากรถและตั้งแขนชูรับบานประตูไว้อย่างรวดเร็ว
“ในเมืองมีกับดัก ทุกคนรีบหนีเร็ว” ชายผู้นั้นแผดเสียงเตือนเพื่อนดังกังวาน เหล่าพลทหารและรถศึกต่างรีบหนีออกจากเมืองอย่างไม่คิดชีวิต
เสียงประตูบานใหญ่ร่วงหล่นสู่พื้นดังกัมปนาท ฝุ่นคลีฟุ้งตลบกลบทั่วบริเวณ ทุกคนต่างจดจ้องไปที่บานประตูด้วยความห่วงใย ที่แท้ผู้กล้าหาญที่แบกรับบานประตูนั้นก็คือสูเหลียงเฮ่อนั่นเอง
แม่ทัพเมิ่งรีบออกคำสั่งว่า “กองหลังระวังหน้า ที่เหลือรีบถอยกลับค่าย”
ยังไม่ทันที่เหล่าทหารจะถอยกลับ เสียงถ่ายทอดคำสั่งให้ยิงธนูก็ดังจากกำแพงเมือง
ลูกธนูห่าใหญ่พุ่งออกจากกำแพงเมืองดังสายฝน เหล่าทหารถูกพุ่งแทงล้มตายไปจำนวนมาก แม่ทัพเมิ่งมิอาจทำอะไรได้มากกว่านี้ จึงได้แต่ดูเหล่าทหารถูกยิงตายไปทีละคนสองคน
หลังจากล่าถอยได้พักใหญ่ แม่ทัพเมิ่งสั่งรี้พลหยุดพักผ่อน ขณะนั้นทุกคนต่างกระโดดลงจากรถศึกมาโอบกอดสูเหลียงเฮ่อด้วยความยกย่อง ภาพอันกล้าหาญอย่างไม่คิดชีวิตยังคงเป็นที่ประทับใจของหมู่ทหาร โดยเฉพาะคือเหล่าทหารที่ถูกสูเหลียงเฮ่อช่วยออกมาจากกำแพงเมือง ก็ยิ่งแสดงความปลาบปลื้มและแบกสูเหลียงเฮ่อขึ้นโห่ร้องไชโยจนกึกก้องไปทั่ว
เวลานั้นแม่ทัพเมิ่งก้าวลงจากรถม้า ได้ตบที่หัวไหล่สูเหลียงเฮ่อและกล่าวยกย่องด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า “ดีมาก ! ท่านผู้กล้า ครั้งนี้ท่านได้สร้างคุณงามความดีอันใหญ่หลวงให้แก่เมืองหลู่ หากไม่มีท่าน ครั้งนี้เราคงต้องตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเป็นแน่ หลังจากข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้ทรงปูนบำเหน็จแก่ท่านแน่นอน”
สูเหลียงเฮ่อได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้แก่เมืองหลู่ ภายในใจจึงรู้สึกปีติยินดียิ่ง ดังนั้นครั้นกลับถึงเมืองหลู่ก็รีบกลับบ้านในทันที “แต่...อนิจจา...”
ใบหน้าของสูเหลียงเฮ่อพลันสลดหม่นหมอง เมื่อได้เห็นหญิงงามทรามวัย ๙ คนออกมายืนเรียงต้อนรับ
“ท่านพ่อ ท่านพ่อกลับมาแล้ว” เสียงอ่อนหวานทักทายต้อนรับอย่างอบอุ่น
บุตรสาวทั้ง ๙ เป็นเหมือนเช่นตราบาปที่คอยหลอกหลอนสูเหลียงเฮ่อให้ต้องฝันร้ายอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกละอายต่อบรรพบุรุษที่มิอาจให้กำเนิดบุตรชายไว้สืบสกุล แม้นความจริงเขาจะรักบุตรสาวทั้ง ๙ นี้มากเพียงใด แต่หากไม่มีบุตรชายไว้สืบสกุล เขาก็มิอาจมีหน้าไปพบบรรพบุรุษที่สัมปรายภพได้
บรรพบุรุษสูเหลียงเฮ่อเป็นทายาทในกษัตริย์เฉิงทัง แห่งราชวงศ์ซัง ในอดีต หลังจากพระเจ้าโจวอู่หวัง ได้ทรงปราบทรราชอินโจ้วหวัง ได้สำเร็จ พระเจ้าโจวอู่หวังได้ทรงเมตตาโปรดเกล้าให้อู่เกิงซึ่งเป็นราชบุตรของซังโจ้วหวังได้กินเมืองที่เฉาเกอ
หลังจากพระเจ้าโจวอู่หวังเสด็จสวรรคตแล้ว พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งราชบุตร จี้ทง ที่ยังทรงพระเยาว์ให้ขึ้นสืบสันตติวงศ์ต่อจากพระองค์ โดยให้พระปิตุลา คือโจวกง สำเร็จราชการแผ่นดินแทน แต่คาดไม่ถึงว่าอู่เกิงจะคิดคดก่อการกบฏ ดังนั้น โจวกงจึงต้องทรงกรีธาทัพจากเมืองหลวงมุ่งไปทางทิศตะวันออกเพื่อปราบอู่เกิงที่เฉาเกอ
การปราบกบฏได้เสร็จสิ้นด้วยเวลาอันรวดเร็ว หลังทรงยุติขบวนการกบฏได้สำเร็จ โจวกงได้ทรงแต่งตั้งพระเชษฐาของซังโจ้วหวังคือ เหวินจื๋อฉี่ดำรงตำแหน่งทายาทของเฉิงทัง และเปลี่ยนชื่อรัฐให้ใหม่ว่า “ซ่ง” เหวินจื๋อฉี่ให้กำเนิดทายาทเรื่อยมาจนถึงข่งฟู่เจียซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ ๕ ในตอนนั้นสายทายาทได้แตกแขนงออกไปจนนับไม่ถ้วน ลูกหลานของข่งฟู่เจียจึงได้เปลี่ยนสกุลเป็นข่งนับแต่นั้นมา
ข่งฟู่เจียมีบุตรชื่อว่า มู่จินฟู่ เนื่องจากขุนนางในรัฐซ่งได้ก่อการกบฏ เจ้าเมืองซ่งและข่งฟู่เจียจึงถูกปลงพระชนม์ในครั้งนั้น มู่จินฟู่จึงต้องอพยพลูกหลานไปยังเมืองหลู่ จึงทำให้ลูกหลานได้พำนักอยู่ที่เมืองชวีฟู่แห่งแคว้นหลู่สืบมาตราบปัจจุบัน
ชวีฟู่เป็นเมืองหลวงของรัฐหลู่ มีภูมิประเทศตั้งอยู่บนเนินที่คดเคี้ยว มีระยะทางที่ไกลจากราชธานีออกไปประมาณ ๑๐ กว่าลี้
รัฐหลู่จำเดิมเป็นดินแดนของพระเจ้าโจวอู่หวัง แต่พระเจ้าโจวอู่หวังได้พระราชทานให้แก่พระอนุชา คือโจวกง และด้วยเหตุที่โจวกงต้องทรงช่วยบริหารราชการแผ่นดิน โจวกงจึงทรงแต่งตั้งให้พระโอรสองค์โตนามว่าป๋อฉินไปกินเมืองที่แคว้นหลู่ โดยกำหนดให้เมืองชวีฟู่เป็นเมืองหลวง และเชื้อสายของป๋อฉินก็เสวยราชสมบัติที่แคว้นหลู่นับแต่นั้นสืบมา
หลังจากมู่จินฟู่ได้ย้ายมาอยู่ที่แคว้นหลู่ ได้ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในตรอกเฉวียหลี่ที่เมืองชวีฟู่ มู่จินฟู่มีบุตรชื่อว่า เก่าอี๋ฟู่ เก่าอี๋ฟู่มีบุตรชื่อว่า ฝางสู ฝางสูมีบุตรชื่อว่า ป๋อเซี่ย ป๋อเซี่ยมีบุตรชื่อว่า สูเหลียงเฮ่อ หรือ เหลียงสูเฮ่อก็มีคนเรียกในขณะเดียวกัน
ย้อนเอ่ยถึงสูเหลียงเฮ่อหลังจากที่ได้กลับถึงบ้านแล้ว ผู้เป็นภรรยานามว่าซือซื่อก็ออกมาต้อนรับ นางช่วยถอดชุดนักรบและผลัดเป็นชุดลำลองให้สบายตัว หลังชำระฝุ่นไคลจนเรียบร้อยแล้ว กับข้าวที่หอมกรุ่นก็ได้ตระเตรียมขึ้นโต๊ะเสร็จพอดี แต่ครั้นสูเหลียงเฮ่อนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจก็อดห่อเหี่ยวเสียมิได้เมื่อได้เห็นลูกสาวทั้ง ๙ ยืนเรียงรายคอยปรนนิบัติอยู่
ในคืนนั้น มาตรว่าสูเหลียงเฮ่อจะอ่อนล้าจากการทำศึก แต่กลับต้องนอนพลิกตัวไปมาโดยหาได้ข่มตาหลับลงไม่ เพราะในใจของเขาโหยหาแต่บุตรชายที่ทั้งฉลาดและแข็งแรงไว้เป็นทายาทสืบสกุลเหลือเกิน
ในเช้าวันที่สอง ครั้นเจ้าแคว้นหลู่เสด็จออกขุนนาง เมิ่งซุนเมี่ยได้กราบบังคมว่า “ขอเดชะ ตามที่กระหม่อมได้สนองพระบัญชาไปปราบเมืองปีหยาง เมื่อกระหม่อมนำทหารบุกไปถึง ตอนนั้นขวัญทหารฝ่ายเรากำลังฮึกเหิมจนมิอาจมีใครหาญเทียม แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายข้าศึกจะวางกลเปิดประตูเมืองไว้ โชคดีที่มีสูเหลียงเฮ่อเข้าแบกทานประตูเมืองไว้ทัน จึงทำให้เหล่าทหารที่หลงกลทั้งหมดรอดพ้นปลอดภัย
กระหม่อมไร้ความสามารถ จึงขอให้ฝ่าบาททรงลงพระอาญาด้วยเถิด แต่กระหม่อมใคร่ขอวิงวอนให้ฝ่าบาททรงประทานบำเหน็จรางวัลแก่สูเหลียงเฮ่อในฐานะที่ได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นหลู่เซียงกงได้ทรงสดับรายงานจบ แทนที่พระองค์จะพิโรธ บนพระพักตร์กลับฉายแววพอพระทัยและรับสั่งถามอย่างร้อนรนว่า “ที่ท่านได้กล่าวถึงนี้ ฤๅจะเป็นทายาทของ พระมหาราชัน เฉิงทัง ?”
เมิ่งซุนเมี่ยกราบทูลว่า “ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เซียงกงทรงสราญฤทัยและตรัสว่า “ช่างดียิ่งนัก เรามีเจตนาเช่นนี้มานานแล้ว ตามความเห็นของท่านแม่ทัพ คิดว่าควรปูนบำเหน็จในตำแหน่งใดดี ?”
เมิ่งซุนเมี่ยได้กราบทูลตามที่ได้คิดไว้ล่วงหน้ามาก่อนว่า “ขอเดชะ ! กระหม่อมมีความเห็นว่า ควรแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอที่อำเภอโจวพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เซียงกงทรงกวาดพระเนตรไปที่เหล่าขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ ตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายต่างเห็นกันเช่นไร ?”
ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ต่างกราบทูลเป็นเสียงเดียวกันว่า “พระองค์ทรงพระปรีชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลู่เซียงกงจึงรับสั่งให้นำราชสาสน์เชิญสูเหลียงเฮ่อเข้าเฝ้าโดยด่วน
เนื่องจากตรอกเฉวียหลี่ห่างจากวังหลวงเพียง ๒ ลี้เศษ สูเหลียงเฮ่อจึงเดินทางถึงหน้าพระราชวังในเวลาไม่นานนัก หลังจากมหาดเล็กได้นำความขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว หลู่เซียงกงจึงรับสั่งให้รีบเบิกตัวสูเหลียงเฮ่อเข้าเฝ้าในทันที
สูเหลียงเฮ่อได้เตรียมใจไว้อย่างดีแล้ว ดังนั้นจึงไม่เกิดอาการประหม่าแต่อย่างใด ครั้นเดินถึงหน้าพระราชวัง สูเหลียงเฮ่อได้จัดแต่งอาภรณ์และตบไล่ฝุ่นผงที่เกาะติดมาจากการเดินทาง ได้สืบเท้าก้าวตามมหาดเล็กกระทั่งถึงท้องพระโรง ท่ามกลางธารกำนัลทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่ยืนเรียงรายทั้งสองฝั่ง สูเหลียงเฮ่อรีบสะบัดแขนเสื้อ พร้อมคุกเข่าตามพระราชพิธีการเข้าเฝ้า และกราบบังคมทูลว่า “กระหม่อมสูเหลียงเฮ่อ ขอถวายบังคมฝ่าบาท”
หลู่เซียงกงทรงลุกขึ้นจากพระบัลลังก์ ทรงพิจารณาสูเหลียงเฮ่ออย่างพินิจและโบกพระหัตถ์ตรัสว่า “ตามสบายเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” สูเหลียงเฮ่อรีบลุกขึ้น และก้าวถอยไปยังท้ายสุดของขบวนฝ่ายบู๊
หลู่เซียงกงตรัสว่า “ข้าพได้ตระหนักดีว่าเจ้ามีคุณงามความดีต่อรัฐหลู่ ทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์อีกประการหนึ่ง ข้าพจึงขอมอบเงินให้ท่านสองพันตำลึง และขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นนายอำเภอแห่งอำเภอโจว”
สูเหลียงเฮ่อรีบก้าวออกมากลางท้องพระโรงและคุกเข่าลงกราบบังคมทูลว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หลู่เซียงกงตรัสว่า “ตามสบายเถอะ”
นายทหารได้ก้าวถอยกลับสู่ขบวนขุนนางตามเดิม
สูเหลียงเฮ่อได้กลับถึงบ้านด้วยเกียรติยศภาคภูมิอย่างมิอาจสรรหาสิ่งใดมาบรรยาย เวลานั้น คณะขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ได้ทยอยมาแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง จนทำให้สองสามีภรรยาต้องสาละวนต้อนรับอยู่มิขาด จวบจนพลบค่ำ แขกเหรื่อจึงค่อยบางตาลง
ขณะที่ทั้งสองพอจะมีโอกาสได้นั่งพักผ่อนลงบ้างนั้น เมิ่งซุนเมี่ยได้เดินทางมาถึงพอดี สูเหลียงเฮ่อรีบนำภรรยาพร้อมด้วยธิดาทั้งหลายออกต้อนรับ หลังจากทั้งสองได้นั่งลงตามธรรมเนียมและสนทนาปราศรัยกันพอควรแล้ว เมิ่งซุนเมี่ยได้กวาดสายตาไปมา ซือซื่อเข้าใจความหมายดี จึงได้นำธิดาทั้งหมดออกไปและปล่อยให้ผู้ชายทั้งสองได้พูดคุยกันตามลำพัง
เมิ่งซุนเมี่ยเปิดอกพูดตรงไปตรงมาว่า “บัดนี้ท่านใต้เท้าก็นับว่ามียศฐาบรรดาศักดิ์แล้ว แต่เท่าที่ข้าสังเกตดู คิดว่าท่านคงจะยังมีเรื่องกลุ้มใจอยู่กระมัง ?”
คำกล่าวของเมิ่งซุนเมี่ยเป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดตรงกลางใจของผู้หาญศึก สูเหลียงเฮ่อจ้องมองไปที่ใบหน้าของนายเก่าด้วยอาการพิศวง ได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบสะอื้นว่า “ท่านแม่ทัพช่างปราดเปรื่องดั่งเทพเจ้าเสียนี่กระไร ! ผู้ให้กำเนิดข้าคือบุพการี แต่ผู้ที่รู้ใจข้าคงมีแต่ท่านแม่ทัพกระมัง !”
เมิ่งซุนเมี่ยกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนท่านจึงไม่ให้แม่สื่อช่วยหาหญิงงามอีกสักคนเล่า ?”
สูเหลียงเฮ่อตอบว่า “ข้าได้อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับภรรยาข้ามาช้านาน มาตรว่าจะยังมิได้มีบุตรชายไว้เชยชมก็จริง แต่ซือซื่อก็นับว่ามีพระคุณต่อข้าอย่างใหญ่หลวงยิ่ง หากจะให้มีใหม่… เกรงว่า…”
“เช่นนี้จะเป็นไรไป !” ที่แท้คือเสียงของซือซื่อที่บุกเข้ามาตัดบท
“เรื่องนี้ต้องขอรบกวนท่านแม่ทัพเมิ่งช่วยจัดการให้ด้วย ขอเพียงแต่นางผู้นั้นสามารถให้กำเนิดทายาทแก่สกุลข่ง ข้าก็จะขอปรนนิบัตินางให้เหมือนดั่งน้องร่วมสายเลือดโดยแท้”
เมิ่งซุนเมี่ยกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “ท่านฮูหยินสามารถเข้าใจเช่นนี้ได้ ช่างหาได้ยากยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะจัดการหาแม่สื่อให้”
หลังจากนั้นไม่นาน แม่สื่อได้แนะนำสตรีให้แก่สูเหลียงเฮ่อนางหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อเห็นแล้วรู้สึกพึงพอใจ จึงตกลงรับไว้เป็นภรรยารอง นางผู้นี้เป็นสตรีผู้มีอัธยาศัยที่สามารถเข้ากับซือซื่อและลูก ๆ ทุกคนได้เป็นอย่างดี จึงทำให้ทั้งครอบครัวมีแต่ความสุขสำราญนับแต่นั้นเป็นต้นมา ภายหลังสูเหลียงเฮ่อได้ย้ายครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานที่อำเภอโจว เพื่อรับตำแหน่งนายอำเภอตามพระราชโองการแต่งตั้ง
เมื่อ ๕๕๗ ปีก่อนคริสตศักราช อันเป็นปีที่ภรรยารองของสูเหลียงเฮ่อครบกำหนดคลอดพอดี ทุกคนในครอบครัวจึงต่างตั้งตารอคอยด้วยความดีใจ
“อุแว้...อุแว้”
“ยินดีกับท่านใต้เท้า ท่านได้ลูกชายแล้วค่ะ”
“ลูกชาย” สูเหลียงเฮ่อรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แต่เพียงสูเหลียงเฮ่ออุ้มลูกชายมาเชยชม ความดีใจกลับต้องกลายเป็นความผิดหวังในชั่วเวลาไม่นาน เขารู้สึกทำใจไม่ถูก ด้วยไม่ทราบว่าควรที่จะดีใจหรือเสียใจกับช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ดี เพราะบุตรชายที่ตนรอคอยมานานกลับต้องเป็นเด็กพิการนั่นเอง
สูเหลียงเฮ่อได้ใช้เวลาอยู่นานกับการตั้งชื่อให้กับบุตรชาย และในที่สุดก็ได้ตั้งชื่ออันแสนประหลาดให้แก่ลูกของตนว่า เมิ่งผี ฉายา ป๋อหนี โดยทั้งคำว่าเมิ่งและป๋อต่างมีความหมายว่า “บุตรคนโต” แต่สำหรับคำว่าผีนี้จะมีความหมายว่า “เป๋” อันชื่อที่ได้ตั้งให้แก่เมิ่งผี ก็เพียงพอที่จะเห็นถึงความรู้สึกที่แสนระกำใจของสูเหลียงเฮ่อได้เป็นอย่างดี
และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ภรรยารองของสูเหลียงเฮ่อก็ไม่ได้ตั้งท้องอีกเลย สูเหลียงเฮ่อจึงต้องไปหารือกับเมิ่งซุนเมี่ยอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็ได้สร้างความลำบากใจให้แก่แม่ทัพเป็นอย่างมาก ได้กล่าวว่า “หากท่านต้องการแต่งงานใหม่ ท่านก็คงต้องปฏิบัติตามจารีตโบราณ คือต้องเลิกกับฮูหยินซือเสียแล้วล่ะ”
ซือซื่อเป็นสตรีผู้อารี เพื่อให้สามีได้มีบุตรชายได้สมความปรารถนาแล้ว ซือซื่อจึงสมัครใจจากไปด้วยความระทมทุกข์
เมิ่งซุนเมี่ยได้ช่วยสืบเสาะอยู่พักหนึ่ง ทราบว่าที่เมืองชวีฟู่ บ้านของสกุลเหยียน มีบุตรีผู้เลอโฉมที่ยังครองโสดอยู่ถึงสามคน โดยทั้งสามต่างเพียบพร้อมด้วยความสามารถอันครบด้าน จึงได้ฝากแม่สื่อช่วยเป็นสื่อกลางให้
บ้านสกุลเหยียนเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ มีประตูสีแดงสดบานใหญ่ปิดป้องไว้อย่างมิดชิด แม่สื่อได้ก้าวขึ้นบันไดและเคาะประตูด้วยห่วงเหล็กหัวสิงโต
ขณะนั้น เหยียนเซียงกำลังอ่านสมุดไผ่ อยู่ในห้องสมุด ครั้นได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน จึงพักหนังสือไว้และออกไปเปิดประตูต้อนรับแขก
หลังจากแม่สื่อเข้าไปในห้องโถง ได้เปิดอกพูดถึงจุดประสงค์การมาในครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา
เหยียนเซียงกล่าวว่า “ข้าทราบเรื่องของสูเหลียงเฮ่อดี เพียงแต่สูเหลียงเฮ่อมีอายุมากกว่าลูกข้าตั้งมากมาย สำหรับเรื่องนี้ ข้าคงต้องถามความเห็นของลูก ๆ เสียก่อน ท่านโปรดรอสักครู่”
แม่สื่อโค้งกายเล็กน้อยและกล่าวว่า “ความเห็นของท่านชอบยิ่งแล้ว”
เหยียนเซียงจึงรีบเดินไปหลังบ้าน เห็นลูกสาวทั้งสามกำลังฝึกเขียนพู่กันจีนอยู่ จึงยังให้รู้สึกชื่นใจยิ่งนัก
ครั้นลูกสาวทั้งสามได้เห็นผู้เป็นบิดามาถึง ต่างรีบลุกขึ้นกล่าวทักทายบิดาอย่างนอบน้อม สตรีทั้งสามล้วนเป็นสาวงามทรามวัยที่มีความสุภาพเรียบร้อย มาตรว่าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบเรียบง่าย แต่ก็นับว่าเป็นหญิงงามที่หาได้ยากยิ่ง
เหยียนเซียงกล่าวขึ้นอย่างตะขิดตะขวงว่า “ตอนนี้มีแม่สื่อของสูเหลียงเฮ่อมาขอลูกแต่งงาน”
ครั้นกล่าวจบก็นั่งสังเกตสีหน้าของลูกสาวทั้งสามอย่างสงบ มือพลางลูบเครายาวว่า “เขาคือทายาทของ อริยกษัตริย์เฉิงทัง อีกทั้งเป็นวีรชนผู้ลือลั่นในขณะนี้ หากได้เป็นทองแผ่นเดียวกับตระกูลเรา ก็ยังถือว่าเหมาะสมกันอยู่ เพียงแต่… อายุเขาได้ย่างเข้า ๕๑ ปีแล้ว ถือว่ามีอายุมากกว่าลูก ๆ ตั้งเท่าตัว ที่พ่อพูดเช่นนี้ มิทราบว่าลูกทั้งสามเห็นเช่นไร ?”
หญิงสาวทั้งสามต่างนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ลูกคนโตและคนรองต่างก้มศีรษะโดยมิกล้าเอ่ยคำใด ๆ ส่วนลูกคนเล็กที่ชื่อว่าเหยียนเจิงจ้ายได้แสดงกิริยาขวยอายหลบอยู่หลังพี่รอง และพูดด้วยอาการเคอะเขินว่า “ตามจารีตโบราณ ผู้เป็นบุตรก็ต้องเชื่อฟังโอวาทของบิดาเป็นธรรมดา ฉะนั้นเรื่องการแต่งงานก็ให้ท่านพ่อเป็นผู้ตัดสินใจเถอะ ไฉนท่านพ่อจึงมาถามพวกเราด้วย ?”
เหยียนเซียงเข้าใจดีว่านี่คือคำตอบรับของบุตรี จึงรีบออกไปบอกรับแม่สื่อทันที
หลังจากแม่สื่อได้รายงานให้สูเหลียงเฮ่อทราบ สูเหลียงเฮ่อได้จัดของกำนัลฝากแม่สื่อไปสู่ขอ พร้อมกับปรึกษาเลือกลัคนาวิวาห์ฤกษ์ด้วยเหยียนเซียง หลังเสร็จสิ้นงานวิวาห์ เหยียนเจิงจ้ายได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านสกุลข่ง ครั้นได้เห็นเมิ่งผีก็เกิดความเห็นใจ ดังนั้นจึงให้ความเอ็นดูเมิ่งผีดุจดั่งสายเลือดของตนอย่างมิลำเอียง ซึ่งก็ได้เป็นกำลังใจให้แก่เมิ่งผีได้เป็นอย่างดี
สูเหลียงเฮ่อได้อยู่กินกับเหยียนเจิงจ้ายเป็นเวลาสองปี แต่ก็ยังหาได้มีบุตรไม่ จึงทำให้สองสามีภรรยากลัดกลุ้มใจยิ่งนัก วันหนึ่ง เจิงจ้ายได้กล่าวกับสูเหลียงเฮ่อว่า “ถึงแม้ข้าจะยังอายุน้อย แต่อายุของท่านพี่ก็ตั้งห้าสิบกว่าแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ดีเป็นแน่ ข้าเคยได้ยินว่าเทพารักษ์ที่ภูเขาหนีชิวศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เราน่าจะลองไปกราบขอบุตรจากท่านดูนะ !”
สูเหลียงเฮ่อเห็นด้วย ทั้งสองจึงได้ตระเตรียมเครื่องบูชาให้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น
ครั้นอุษาทอสีทอง สองสามีภรรยาได้นั่งรถม้ามุ่งตรงไปยังภูเขาหนีชิว ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่นแห่งวสันตสมัยเมื่อ ๕๕๒ ปีก่อนคริสตศักราช เวลานั้นทั่วบริเวณล้วนสะพรั่งด้วยดอกท้อสีแดงสด ใบหลิวพลิ้วสยายตามสายลม เสียงวิหคเจื้อยแจ้วประสานเป็นบทเพลงแห่งสวรรค์ มนตราแห่งธรรมชาติเหล่านี้ได้ตรึงใจเจิงจ้ายจนอดที่จะตื่นตะลึงกับความตระการตาที่ธรรมชาติได้มอบให้เสียมิได้
ในตอนนั้นรถม้าได้เคลื่อนอ้อมท้องนาเขียวขจี และลัดเลาะไปตามริมตลิ่งของแม่น้ำอี๋ที่ไหลทวนมา ผิวน้ำได้กระทบกับแสงทองยามอรุณ ทำให้เห็นภูเขาชังผิงทางทิศใต้กับภูเขาหนีชิวทางทิศเหนือที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอี๋อย่างเลือนลาง ภาพวาดด้วยฝีมือธรรมชาติผืนใหญ่นี้ ได้สร้างความรื่นรมย์ใจแก่ทั้งสองตลอดการเดินทาง
ภูเขาชังผิงจะทอดยาวจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตก ส่วนภูเขาหนีชิวจะทอดยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้ จึงทำให้ภูเขาทั้งสองลูกนี้มาบรรจบกันเป็นประตูน้ำขนาดใหญ่ที่ที่มีน้ำไหลทอดออกมาอย่างเฉื่อยช้า ทางส่วนบนของประตูน้ำเป็นหนองน้ำเล็ก ๆ ที่ใสเย็นดั่งแผ่นกระจกใหญ่ที่วางราบอยู่ระหว่างหุบเขา นกกระเรียนสีเทาและนกเป็ดน้ำนานาชนิดต่างบินประปรายหาจับปูปลาบนผิวน้ำ นกบางตัวจะคาบปูปลาในจะงอยปากและบินผงาดไปกลางเวหา
ภาพต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนประทับตาเจิงจ้ายจนทำให้อดคิดเสียมิได้ว่า “นกเหล่านี้คงจะคาบอาหารไปเลี้ยงลูกอ่อนของมันกระมัง แต่เราซิ ! เมื่อไหร่จึงจะสามารถเลี้ยงลูกของเราเองได้บ้างหนอ ?”
รถม้าหยุดจอดที่เชิงเขาด้านตะวันออกของภูเขาหนีชิว สูเหลียงเฮ่อรีบกระโดดลงจากรถม้ามาประคองเจิงจ้ายลงจากรถอย่างทะนุถนอม
หลังจากทั้งสองได้จัดแต่งเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ต่างนำสิ่งของเครื่องเซ่นที่จัดเตรียมไว้ปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขา ระหว่างทางได้เห็นต้นสนขึ้นเบียดสูงชะลูดเป็นแนวไพร ทิวทัศน์ดูเขียวชอุ่มชุ่มขจี หยดน้ำที่เกาะติดบนใบหญ้าได้ต้องแสงอุษาจนเปล่งประกายดุจเม็ดอัญมณีสีรุ้งไปทั่วทุ่ง ภาพภูเขาหนีชิวที่ต้องใจ ได้ทำให้ทั้งสองต่างลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการป่ายเขาไปเสียสิ้น
ครั้นทั้งสองเดินถึงไหล่เขา ได้เห็นศาลเทพารักษ์แห่งหุบเขาตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้างที่ปูลาดด้วยดอกไม้ป่าเหลืองอร่าม ทุ่งกว้างสีเหลืองได้ถูกปะแซมด้วยหญ้าอ่อนที่มีความอ่อนนุ่มดุจพรมสีเขียวผืนใหญ่ นกน้อยต่างแข่งขันประชันเพลงบนต้นไม้ ผีเสื้อดูเหมือนจะออกมารำร่ายไปกับจังหวะเพลงแห่งสกุณา ทัศนียภาพอันงดงามเหล่านี้ได้ทำให้เจิงจ้ายถึงกับอุทานออกมาด้วยความประทับใจว่า “ช่างเป็นสวรรค์บนแดนดินโดยแท้”
ครั้นสูเหลียงเฮ่อได้ยินก็อดขำเสียมิได้ เพราะเขารู้สึกว่าภรรยาที่ยังสาวของตนคนนี้ยังติดความไร้เดียงสาของเด็กอยู่
สูเหลียงเฮ่อได้เข้าประคับประคองภรรยาของตนเดินตรงไปยังศาลเจ้าอย่างทะนุถนอม ทั้งสองต่างช่วยกันจัดสิ่งของเครื่องเซ่นอย่างประณีต แล้วจึงอธิษฐานขอพรประทานบุตรจากเทพารักษ์ด้วยความศรัทธา
หลังจากกราบไหว้ขอพรเสร็จ ทั้งสองต่างเดินลัดเลาะลงเขาตามทางเดิม และขึ้นรถกลับบ้านท่ามกลางสายัณห์สมัยด้วยความสำราญใจ
ตั้งแต่ได้กลับจากการขอพรที่ภูเขาหนีชิวแล้ว เจิงจ้ายก็เปลี่ยนเป็นคนที่มีความร่าเริงสดใส อาหารการกินก็ทานได้มากยิ่งขึ้นกว่าเก่า ร่างกายจึงอ้วนท้วนแข็งแรงขึ้นอย่างมากมาย
เหมันตฤดูของปีนั้น เจิงจ้ายได้ตั้งครรภ์สมดังที่ใจปรารถนามาช้านาน และทุกครั้งที่นางนึกถึงความรู้สึกของการเป็นมารดา จิตใจก็จะเปี่ยมล้นด้วยความหวานชื่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ส่วนหนึ่งก็อดเป็นห่วงเสียมิได้ว่าลูกที่อยู่ในครรภ์จะเป็นคนพิการเช่นเมิ่งผีหรือไม่ และทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ เจิงจ้ายก็จะยิ่งดูแลเอาใจใส่เมิ่งผีมากขึ้นเป็นพิเศษ
ตอนนั้นเมิ่งผีมีอายุครบห้าขวบบริบูรณ์ นางจึงเริ่มสอนให้รู้จักตัวหนังสือ สอนให้รู้จักการละเล่นทุกอย่าง ทั้งนี้เพื่อให้เมิ่งผีมีความสนุกสนานและลดปมด้อยในจิตใจให้จางลง สิ่งเหล่านี้ที่เจิงจ้ายได้ทำก็ได้สร้างความประทับใจให้แก่สูเหลียงเฮ่อและมารดาบังเกิดเกล้าของเมิ่งผีเป็นอย่างมาก เขาทั้งสองจึงต่างเฝ้าอธิษฐานให้เจิงจ้ายประสบแต่ความสุขความเจริญอยู่เสมอ
เวลาครบกำหนดคลอดได้ใกล้เข้ามาทุกที สูเหลียงเฮ่อและแม่ของเมิ่งผีต่างสาละวนกับการตระเตรียมจนจ้าละหวั่น และบ่อยครั้งก็มีซือซื่อก็มาช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
เนื่องจากสูเหลียงเฮ่อทราบดีว่าภรรยาของตนชอบทิวทัศน์ที่ภูเขาหนีชิว จึงได้ตัดสินใจปลูกกระท่อมหลังน้อยที่เชิงเขาหนีชิวขึ้น หลังก่อสร้างแล้วเสร็จก็ได้ขับรถม้าส่งเจิงจ้ายไปที่นั่นในวันต่อมา
เจิงจ้ายรู้สึกมีความผูกพันกับที่นี้มากเป็นพิเศษ เวลานั้นตรงกับฤดูใบไม้ผลิ รอบเชิงเขาหนีชิวจึงปกคลุมด้วยดอกเบญจมาศป่าเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตา เจิงจ้ายรู้สึกปลาบปลื้มปีติจนถึงกับลืมตัวว่ากำลังจะเป็นแม่คนในไม่ช้า เพราะความสวยงามแห่งธรรมชาติที่ยังมิได้ผ่านการเจียระไน ได้เป็นมนตร์ขลังที่ทำให้เจิงจ้ายหลงใหลไปอย่างไม่รู้ตัว
และในวันที่ ๑๗ เดือน ๘ ๕๕๑ ปีก่อนคริสตศักราช ตามจันทรคติ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้อุบัติขึ้นแล้ว
เสียง ‘อุแว้’ ก้องสนั่นไปทั่วหุบเขา สูเหลียงเฮ่อกระโดดโลดเต้นจนลมหายใจไม่เป็นจังหวะ ด้านหนึ่งต้องคอยดูแลเจิงจ้าย ส่วนอีกด้านหนึ่งต้องคอยอุ้มลูกเชยชมจนมิอยากวางมือ ทารกเป็นเด็กชายผิวคล้ำ ร่างกายดูแข็งแรง สูเหลียงเฮ่อมีความสุขเสียจนมิอาจหุบยิ้มได้
“ช่างเหมือนข้าจริง ๆ ดูซิ ! ลูกรักของพ่อ !”
แต่ความดีใจของผู้เป็นบิดาพลันต้องชะงักเมื่อแววตาได้ไปสะดุดที่ศีรษะของทารกน้อย ที่แท้คือส่วนกลางของศีรษะมีรอยบุ๋มตะปุ่มตะป่ำสีดำประปราย รอบบริเวณรอยบุ๋มมีลักษณะนูนสูงจนดูคล้ายกับเนินดินก็มิปาน
“ฮ่าย ! ไม่น่าเป็นรอยด่างพร้อยในเพชรน้ำหนึ่งเลย” สูเหลียงเฮ่อนึกพ้ออยู่ในใจ ความรู้สึกที่ดีใจเมื่อสักครู่จึงเหือดหายไปกว่าครึ่ง
สีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของสูเหลียงเฮ่อได้สร้างความวิตกกังวลแก่เจิงจ้ายเป็นอย่างมาก
“หรือว่า…” นางไม่กล้าจะคิดต่อไปอีก เขาอยากจะดูลูกของตน อยากจะจุมพิตลูกของตน แต่… นางเหมือนได้รับรู้อะไรบางอย่างจากสีหน้าของสามี ด้วยความอยากอุ้มลูก นางจึงกระเสือกกระสนชูแขนออกมา แต่แล้วก็ต้องหดแขนกลับไปใหม่ นางกลัวเหลือเกิน กลัวว่าลูกของตนจะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเมิ่งผี เวลาอันแสนทรมานได้ผ่านไปอย่างเนิ่นนาน นางได้ฮึดกำลังใจขึ้นอีกครั้งว่า “เอาลูกมาให้ฉันอุ้มหน่อยสิ”
สูเหลียงเฮ่อส่งลูกให้เจิงจ้าย เจิงจ้ายรีบเปิดผ้าสำรวจดูลูกอย่างถ้วนถี่ ตอนนี้นางรู้สึกโล่งอกเหมือนได้ปลดหินก้อนโตออกจากทรวง เด็กน้อยคนนี้มีใบหน้าทรงเหลี่ยม คิ้วดก ตาโต
“ใช่จริง ๆ เหมือนพ่อของเขามากเสียด้วย” ความจริงนางต้องการจะเก็บคำพูดนี้ไว้ในใจ แต่ไม่รู้ว่ามันหลุดปากไปได้อย่างไร
สูเหลียงเฮ่อพูดออกมาด้วยอาการผิดหวังว่า “แต่น่าเสียดายที่หัวลูกมีไอ้ของสกปรกนั่น”
ครั้นเจิงจ้ายได้ฟังก็ถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา นางลูบคลำศีรษะของลูกและพูดว่า “อันนี้เป็นของธรรมดาสำหรับทารกแรกเกิด ฉันเคยได้ยินเขาพูดกันว่า เด็กที่มีรอยปุ่มป่ำสีดำนี้ โดยมากแล้วจะมีความฉลาดมากเป็นพิเศษ ดีไม่ดีลูกของเราอาจจะเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หรืออาจจะสร้างคุณความดีอันใหญ่หลวงให้กับประเทศชาติในอนาคตก็ได้”
ครั้นสูเหลียงเฮ่อได้ฟังก็มิอาจระงับความปีติในใจได้อีก เขารีบอุ้มลูกมากอดอย่างแนบแน่น และจุมพิตลงตรงกลางศีรษะอย่างทะนุถนอม
เจิงจ้ายได้เห็นความปีติของสามีเช่นนี้ จิตใจก็พองโตจนน้ำตาอาบแก้ม นางรีบเช็ดคราบน้ำตาและพูดว่า “ท่านพี่ รีบตั้งชื่อให้ลูกของเราเถอะ”
“ใช่ ! ใช่ ! เราควรตั้งชื่อให้แก่ลูกของเรา” สูเหลียงเฮ่อพึมพำอยู่คนเดียว หากแต่สายตายังคงจับจ้องมองลูกอย่างไม่ลดละ ภายในใจนึกตรึกตรองอยู่พักใหญ่
“เมื่อหนึ่งปีก่อน เราเคยมาขอลูกที่ภูเขาหนีชิวแห่งนี้ และลูกของเราก็ยังมีรอยปุ่มป่ำสีดำบนศีรษะอีก หากว่าลูกของเรามีความเฉลียวฉลาดเหมือนอย่างที่เจ้าว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องตั้งชื่อให้ลูกว่า ‘ชิว’ (เนิน) ฉายา ‘จ้งหนี’ เจ้าเห็นว่าอย่างไร ?”
เจิงจ้ายตอบว่า “ท่านพี่ตั้งได้เหมาะสมแล้ว”
ในภายหลัง เพื่อเป็นการให้เกียรติและไม่เป็นการเสียมารยาทแก่ท่านขงจื่อ ภูเขาหนีชิวจึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นภูเขาหนีซาน
ย้อนกล่าวถึงสูเหลียงเฮ่อ หลังจากได้บุตรชายแล้ว ใบหน้าก็ยิ้มแย้มแช่มชื่นตลอดทั้งวัน เมื่อลูกอายุครบเดือน สูเหลียงเฮ่อได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับลูก เพื่อนสนิทมิตรสหายต่างมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง
ข่งชิวมีความเฉลียวฉลาดและร่าเริงมาแต่เยาว์วัย ทุกคนในครอบครัวจึงต่างให้ความรักและความเอ็นดูเสมือนหนึ่งแก้วตาดวงใจ ในแต่ละวัน เจิงจ้ายจะคอยอุ้มคอยดึงข่งชิวมิให้ห่าง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จะคอยสอนหนังสือให้แก่เมิ่งผี สำหรับคนที่ไม่รู้ความจริง ก็จะเข้าใจว่าเจิงจ้ายเป็นมารดาแท้ ๆ ของเมิ่งผีไปเสียหมด
เวลาผ่านไปรวดเร็วดุจกระสวยแล่น เวลานั้นข่งชิวอายุครบสามขวบแล้ว และก็เป็นจริงอย่างที่ว่าไว้คือ ข่งชิวมีความฉลาดเกินคน เมื่อตอนที่สองสามีภรรยาสอนข่งชิวให้หัดพูด เพียงสอนครั้งเดียว ข่งชิวก็สามารถท่องจนขึ้นใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นทั้งสองจึงรักและเอ็นดูข่งชิวมากเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกัน ทั้งสองสามีภรรยาต่างก็รู้สึกเห็นใจเมิ่งผี ได้แต่โทษดวงชะตาว่าช่างไม่ยุติธรรมกับเด็กคนนี้เสียจริง ๆ
และแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ทั้งสองก็จะยิ่งให้ความรักความอบอุ่นกับเมิ่งผีมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งนานวันเข้า เมิ่งผีก็ให้ความเคารพรักและปฏิบัติต่อเจิงจ้ายเสมือนหนึ่งมารดาบังเกิดเกล้าจริง ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลด้วยความรัก ทั้งครอบครัวจึงมีแต่ความอบอุ่นอันเหมือนเช่นสวรรค์บนดินก็มิปาน
แต่ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่จีรัง วันหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อเกิดล้มป่วยลงกะทันหัน ในเริ่มแรกทุกคนต่างเข้าใจว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา เพราะคนที่ฝึกวิทยายุทธและร่างกายแข็งแรงกำยำ ขอเพียงรำมวยสักพักหนึ่ง อาการหวัดก็จะหายไปเองโดยพลัน แต่อาการป่วยไม่เพียงแต่ไม่ได้ดีขึ้นเท่านั้น หากแต่ร่างกายกลับยิ่งทรุดหนักลงทุกวัน มีอาการวิงเวียนศีรษะและเหงื่อไหลโทรมกายตลอดเวลา
เมื่อเห็นว่าอาการไม่ได้ดีขึ้น ทุกคนจึงเริ่มหวั่นวิตกและรีบตามหมอมารักษา เจิงจ้ายจะเป็นคนคอยต้มยาและอยู่ปรนนิบัติตลอดทั้งวันและคืน แต่อาการได้หนักถึงขั้นกระษัยแล้ว ไม่ว่าจะทานยาอะไรก็ไม่เกิดผลใด ๆ ทั้งสิ้น
คืนวันหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อฟื้นจากอาการสลบไสล เขารู้ตัวว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงกุมมือเจิงจ้ายทั้งน้ำตาและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว พวกเจ้าและลูก ๆ คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ชีวิตต่อไปในภาคหน้าคงจะลำบากไม่น้อย ข่งชิวเป็นลูกของเจ้า เด็กคนนี้มีความฉลาดเกินคน ถ้าหากได้รับการอบรมอย่างเหมาะสม อนาคตก็จะไปไกลไม่น้อย
แต่… ที่ข้าเป็นห่วงที่สุดคือเมิ่งผี เขาไม่เพียงแต่มีสติปัญญาที่ด้อยกว่า หากแต่ร่างกายยังมีความพิการอีกต่างหาก ข้าจึงอยากจะขอร้องเจ้า ให้เห็นแก่การที่เราได้เป็นสามีภรรยากัน ขอให้เจ้าตั้งใจเลี้ยงดูเมิ่งผีให้ดี ๆ ให้เขาได้…”
สูเหลียงเฮ่อเริ่มหายใจติดขัด น้ำเสียงยิ่งแผ่วเบาลงมากขึ้นทุกที ตอนนี้เจิงจ้ายได้ร่ำไห้เสียใจจนน้ำตาอาบชุ่มใบหน้าไปเสียแล้ว นางแนบหูที่ปากของสามี แต่ก็หาได้ยินเสียงพูดของสูเหลียงเฮ่ออีกไม่ เจิงจ้ายจึงรีบตั้งสติและกล่าวขึ้นด้วยความหนักแน่นว่า “ถึงแม้เมิ่งผีจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของข้า แต่เขาก็เป็นสายเลือดของตระกูลข่ง ขอให้ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะดูแลเมิ่งผีให้ดีที่สุด”
สูเหลียงเฮ่อพยายามใช้มือประคองตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำเช่นนั้นได้อีก เขาจึงใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่พูดออกมาว่า “หาก….เจ้า…..สามารถ……ดูแล….เมิ่งผี…ได้ แม้ข้าจะอยู่ในปรภพ…… ข้าก็….นอนตาย….ตา….หลับ….แล้ว…” เพียงพูดจบ สูเหลียงเฮ่อก็สิ้นใจจากไป
เจิงจ้ายร้องไห้เสียใจจนน้ำตาจะเป็นสายเลือด “ขอให้ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน”
สำหรับครอบครัวที่มีแต่เด็กเล็กและผู้หญิงเช่นนี้ การตายของสูเหลียงเฮ่อนับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ แต่เจิงจ้ายก็ทำตัวสมกับเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง นางสามารถระงับอารมณ์โศกเศร้าและตั้งสติด้วยความรวดเร็ว หลังจากเสร็จสิ้นอวมงคลพิธีของสามี นางได้ชะลอศพสามีไปฝังไว้บนภูเขาฝังซาน และนับแต่นั้น นางต้องรับผิดชอบความอยู่รอดของครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว
เวลานั้น ลูกสาวทั้ง ๙ คนของสูเหลียงเฮ่อได้แต่งงานออกเรือนไปกันหมดแล้ว จึงทำให้สมาชิกครอบครัวเหลืออยู่เพียง ๔ คน เจิงจ้ายเข้าใจดีว่าสมบัติต้องมีวันใช้หมดในสักวันหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีทุนทรัพย์สำหรับเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่ ด้วยเหตุนี้ นางจึงแบกรับภาระบริหารครอบครัวไว้ทั้งหมด ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้เป็นอย่างดี
เวลานั้นเมิ่งผีมีอายุได้ ๙ ขวบแล้ว เจิงจ้ายจึงนำไปฝากที่สำนักศึกษา แต่ก็มีเด็กเกเรบางคนที่มักจะเอาความพิการของเมิ่งผีมาเยาะเย้ยให้อับอายอยู่ตลอดเวลา ครั้งหนึ่ง เมิ่งผีได้ถูกเพื่อน ๆ กลั่นแกล้งด้วยการแอบเอาไม้เท้าไปซ่อนไว้จนไม่สามารถกลับบ้านได้ เด็กน้อยจึงได้แต่ร้องไห้บนโขดหินด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ กระทั่งพลบค่ำ เจิงจ้ายและมารดาของเมิ่งผีจึงมาพากลับบ้าน
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เมิ่งผีก็สาบานว่าจะไม่ยอมไปเรียนที่สำนักศึกษาอีกต่อไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา