เมื่อวาน เวลา 11:20 • การเมือง

Russia First

การประจบรัสเซียไม่ได้ผลในอดีต และมันจะไม่ได้ผลสำหรับทรัมป์ด้วย
แนวทางของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อรัสเซียและยูเครน “การยอมจำนนต่อมอสโก” “การรังแกเคียฟ” อาจดูเหมือนเป็นการเบี่ยงเบนจากแนวทางเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่ในความเป็นจริงมีเพียง “รูปแบบการทูตสุดโต่งของทรัมป์” เท่านั้นที่แปลกใหม่ ดังจะเห็นได้จากการที่เขาด่าเซเลนสกีต่อหน้าสาธารณชนในห้องทำงานรูปไข่เมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ไม่เคยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดเลยที่เข้าข้างรัสเซียอย่างออกนอกหน้าเพื่อต่อต้านพันธมิตรในยุโรปของวอชิงตัน
เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้วที่ผู้นำสหรัฐฯ “อ่อนข้อ” ให้กับรัสเซีย โดยแลกมาด้วยผลประโยชน์ ความไว้วางใจ และความมั่นคงของประเทศ ทรัมป์ไม่ได้แหกกฎเกณฑ์นั้นเลย เขากำลังทุ่มเทอย่างเต็มที่ ตามที่บทความต้นเรื่องของ Foreign Affairs เรียกว่า “Russia First”
รัฐบาลอเมริกันหลังสงครามเย็นทุกชุดพยายามสร้างสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเครมลิน โดยเชื่อว่าการมีปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดความร้อนแรงของรัสเซียได้ แต่กลับมีประเด็นของจอร์เจีย ไครเมีย ดอนบาส และล่าสุดการบุกยูเครนเต็มรูปแบบ เรื่องเหล่านี้ชัดเจนว่าการประนีประนอมไม่ได้ผล
เครดิตภาพ: The Statesman
ถึงเวลาแล้วที่จะเรียกสิ่งที่มันเกิดขึ้นว่า ความล้มเหลวของทั้ง “เดโมแครต” และ “รีพับลิกัน” ในรอบ 30 ปี “การมองเข้าไปในจิตวิญญาณของบุช” “การรีเซ็ตของโอบามา” “ความหลงใหลของทรัมป์ที่มีต่อปูติน” แม้แต่ “ไบเดน” ซึ่งสนับสนุนยูเครนอย่างเปิดเผยแต่ก็ยังคงกล้าๆ กลัวๆ ส่งอาวุธให้ยูเครนอย่างช้าๆ และเพิ่งให้อนุมัติใช้อาวุธหนักเมื่อตอนใกล้หมดวาระ เพราะกลัวว่าสถานการณ์จะบานปลายขึ้น ซึ่งสหรัฐยังคงเดินเกมแบบกล้าๆ กลัวๆ กับรัสเซียอยู่
ตอนนี้ทรัมป์กลับมาแล้ว และเขาก็โอบรับปูตินอย่างเปิดเผย เขาลากเซเลนสกีมาถูกด่าในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวออกสื่ออย่างกับเตรียมการไว้แล้ว ทูตของเขาสนับสนุนประชามติที่นานาชาติไม่ยอมรับในดินแดนยูเครนที่ถูกรัสเซียยึดครองไว้ได้ และรัฐบาลของเขากำลังเจรจาเพื่อผ่อนปรนการคว่ำบาตรมอสโกอยู่
บทความต้นเรื่องบอกว่าทรัมป์ไม่ได้เดินหมากอะไรเป็นพิเศษ แต่เขาเป็นหมากที่กำลังถูกรัสเซียเล่นอยู่ ปูตินไม่มีเจตนาจะเจรจากับสหรัฐด้วยความจริงใจอยู่แล้ว เขาเห็นสิ่งที่นโยบายของสหรัฐฯ ตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมาซึ่งได้สอนบทเรียนเขา นั่นคือ รอก่อนให้อเมริกาเหนื่อยล้า แล้วรัสเซียจะชนะเอง
3
การหยุดยิงในยูเครนที่ถูกบังคับโดยไม่มีการรับประกันความปลอดภัยที่แท้จริงนั้นไม่ถือเป็นสันติภาพระยะยาว แต่เป็นการทำให้รัสเซียสามารถสั่งสมกำลังขึ้นมาใหม่ เสริมกำลังจากพันธมิตร และสบช่องหาทางโจมตีอีกครั้ง เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำหลังจากข้อตกลงมินสค์ แต่ในอีกทางรัสเซียก็มองว่าฝั่งตะวันตกก็จะทำอย่างนี้ด้วยเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างหาโอกาสด้วยกันทั้งคู่
การประนีประนอมกับมอสโกจะไม่สามารถยุติสงครามได้ แต่จะรังยิ่งยืดเยื้อสงครามออกไปอีกเท่านั้น จะทำให้ยุโรปไม่มั่นคง และจะทำให้ขั้วฝ่ายตรงข้ามของตะวันตกเข้มแข็งขึ้น
ความเป็นผู้นำที่แท้จริงของสหรัฐฯ จะอยู่ตรงบทบาทอย่างไร การสนับสนุนทางการทหารและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นสำหรับยูเครน การรับประกันความมั่นคงที่แท้จริง ไม่ใช่คำสัญญาที่คลุมเครือ การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของนาโตที่เพิ่มขึ้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ การคว่ำบาตรต่อรัสเซียไปให้แบบสุดซอยจะเกิดขึ้นหรือไม่
การทำข้อตกลงไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ระยะสั้น อเมริกาไม่สามารถเสียสละหลักการและพันธมิตรของตนเพื่อภาพลวงตาของเสถียรภาพได้อีกต่อไป สันติภาพระยะยาวมาจากการยับยั้ง การเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และความสามัคคี ไม่ใช่จากการให้รางวัลแก่ผู้เริ่มต้นสงคราม บทความต้นเรื่องสรุปว่า อย่าให้บทเรียนเรื่อง “Russia First” เกิดขึ้นซ้ำรอย
อ้างอิงบทความต้นเรื่องได้จากลิงก์ด้านล่างนี้
เรียบเรียงโดย Right Style
6th Apr 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: The Economist>
โฆษณา