11 เม.ย. เวลา 04:03 • นิยาย เรื่องสั้น
มหาวิทยาลัยโมนาช

จากบ้านหินกองสู่ Clayton #4/14

[------ทำความรู้จักกันก่อนเรียน------]
9 มิถุนายน 37 เป็นการเข้าห้องเรียนวันแรกแต่ยังไม่ได้เรียน มันเป็นการสอบแบ่งชั้นว่าใครควรจะเรียนอยู่ห้องไหน
ช่วงบ่ายคุณครูสาว Heike ก็พาพวกเราทัวร์ใน u. และก็ไปทำบัตรนักเรียนด้วย
พวกเราถือเป็นนักเรียน ELICOS ของโมหนาดก็จะมีสิทธิบางอย่างเหมือนนักศึกษาที่นั่น เช่น การใช้ห้องสมุด การใช้ศูนย์กีฬา
12 มิถุนายน 37 ตอน 9 โมงเช้า คุณครูมอรีน Maureen Powles พาพวกเราเด็กรุ่นใหม่ทั้งรุ่นเข้าเมืองไปดูสถานที่หลายแห่ง เช่น QVM – Queen Victoria Market, อนุสาวรีย์สงครามโลกครั้งที่ 1 – 2, และปล่อยเราเดินดูงานศิลปะที่ชายหาด St. Kilda
พวกเรากลุ่มเล็กๆ เดินห้าง MYER กันต่อ จนได้เวลาค่ำก็กลับโดยรถไฟที่ Flinders Street Station ไปลงสถานี Clayton แล้วนั่งรถเมล์กลับ
13 มิถุนายน 37 วันเกิด queen มอรีนพาไปเที่ยว Healesville Sanctuary ซึ่งเป็นสวนสัตว์เล็ก ๆ ได้เจอจิงโจ้กับคัวล่าใกล้ ๆ กลับถึงนอมันบี้ 5 โมงเย็น
[------เหล่านักเรียนที่ "ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง"------]
14 มิถุนายน 37 โรงเรียนภาษาเปิดแล้ว ทั้งนักเรียนเก่านักเรียนใหม่มากันคึกคักยั้วเยี้ย ผมเริ่มเจอนักเรียนไทยครบก็วันนี้เอง
ตอนเช้าก่อนเข้าห้องก็มีการจับกลุ่มกันเจี๊ยวจ๊าว พวกนักเรียนเก่าก็เม้ากันว่าหายไปไหนกันมา พวกนักเรียนใหม่ก็เดินแวะเวียนว่าเราจะไปเข้ากับกลุ่มไหนได้บ้าง
โดยคร่าว ๆ แล้ว กลุ่มอินโดฯ จะใหญ่สุดราวราวยี่สิบห้าคน กลุ่มคนไทยจะเป็นที่สองคือราวสิบห้าคน
ในกลุ่มคนไทย พวกรุ่นใหญ่ที่อายุมากก็มี 3 คน คือ ผม, พี่หมอ-พิสิษฐ์ พิริยาพรรณ และ พี่เล็ก นักธุรกิจ เพื่อนซี้พี่หมอ ทั้งคู่มาจากชลบุรี พี่หมอมาดูงานที่โรงพยาบาลโมนาช ก็เลยแวะมาเรียนภาษาก่อน
พี่เล็กแกเด่นกว่าใครในวันแรกของการเรียน นั่นคือแกใส่สูทมาเรียนเต็มที่เหมือนมาเจรจาธุรกิจ หล่อสุดแล้ววันนั้น แล้ววันต่อมาแกก็เลิกใส่ คงจะเขิน
คนที่แต่งเต็มอีกคนคือ อ้อย-อัจฉราวรรณ สุจำนงค์ เธอนุ่งกระโปรงสั้น ใส่บูทยาว ใส่หมวกเบเร่ต์สีเทา ราวกับนางแบบ เธอก็เต็มที่มาวันแรกวันเดียวเหมือนกัน
ผมจะค่อย ๆ พูดถึงคนไทยแต่ละคนทีหลังละกัน อยากฝากไว้เผื่อคนรู้จักมาอ่านจะได้รู้ว่าผมคิดถึง
กลุ่มอินโดฯ ที่ว่าเป็นกลุ่มใหญ่สุดจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มรุ่นใหญ่ของพวกเขาจะเป็นพวกข้าราชการที่ได้ทุนมาเรียน หน้าตาเข้มทั้งหญิงและชาย อายุราวสามสิบกว่า เขาจะจับกลุ่มกันตลอด ผมได้คุยกับกลุ่มนี้เป็นระยะ ๆ ทางผู้ชายจะตลกโปกฮา ชอบสอนคำหยาบภาษาอินโดฯ ให้ผมไปพูดกับคนอื่น
กลุ่มนักเรียนอินโดฯ รุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก  มีคนไทยแซมบ้าง
อีกกลุ่มของอินโดฯ จะเป็นพวกวัยรุ่น ก็แบ่งเป็นสองกลุ่มย่อย กลุ่มแรกคือพวกคมเข้ม มี "ราหะดี" เป็นหัวโจก อีกกลุ่มเป็นตี๋หมวยคริสเตียน มีเจ้าซัฟฟรี่เป็นตัวตึง มีฮินดู 1 คนชือ "ราดิเตีย"
นักเรียนญี่ปุ่นมีราว 10 กว่าคน มี Akiko Yamaguchi, Akira Sekine, Hiroshi Sakaide, Makiko, Reko, Kyoko, Nao, Miki, ชิเกรุ, ฮิเดโอะ, โคสุเกะ, มิโดริ, จุงโกะ, มานาบุ (หน้าตาง่วงๆ ชอบใส่เสื้อลายสก๊อต), เร (มีเครา) พวกนี้แต่งตัวกันแบบญี่ปุ่น เอาว่าเป็นตัวแทนยี่ห้อ Uniqlo ละกัน
เกาหลีผู้ชายก็แต่งตัวคล้ายญี่ปุ่น แต่ผู้หญิงจะดูห้าว ๆ ทุกคน แต่ละคนแต่งหน้าจัดที่สุดในบรรดาเด็กนักเรียนที่นั่น มีราว 6-7 คน จำชื่อได้แค่ “ยุงชุม” กับ “ยุงบิน” จงเบ็ก, มูน, Julia
มีสาวหน้าแขกอยู่สองคน น่าจะเป็นคนบังคลาเทศ จำชื่อได้คนเดียว ชื่อเธอออกเสียงประมาณว่า “ธรรมาลินี” ทั้งสองคนเอาจริงเอาจังกับการเรียนมา และดูเครียดตลอดเวลา
เท่าที่ผมเคยเจอพวก อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ ปากีสถาน ซึ่งมาจากประเทศที่มีปัญหาในการใช้ชีวิต พวกนี้จะเครียด ต้องการเอาชนะตลอดเวลา ไม่ยอมเสียเปรียบ ก็ได้แต่คบกันแบบผิวเผิน
มีไต้หวัน 3 คน คือ เดบอร่า สาวหัวโหนก วัยรุ่นใส ๆ ตอนหลังเป็นแฟนกับชิเกรุ กับ วิเวียน คนนี้ผมจำได้แต่ชื่ออย่างเดียว และคนสุดท้าย คริสติน่า สาวห้าวสูบบุหรี่จัด
เวียดนาม กลุ่มนี้ที่จำได้มี 4 คน ทั้งหมดเป็นนักเรียนทุนของไม่รู้ว่าของรัฐบาลเวียดนามหรือออสเตรเลีย
เด็กสุดชื่อ ”ฮาว” หัวดีมาก อายุน่าจะราว 20-21 ปี คนแก่สุดคือ “ลุงบิน” ดูเหมือนว่าแกจะเป็นวิศวกร อายุตอนนั้นแกน่าจะเกือบห้าสิบแล้ว อีกคนที่อ่อนว่าลุงบินนิดนึงคือ “ป้าไห่” แกมาเรียนการจัดการข้อมูล หรือพวก archive
คนสุดท้ายไม่แน่ใจว่าชื่อ “ลานอา” หรืออะไรประมาณนี้ อายุราว 30 นิด ๆ
“ลานอา” มีสไตล์การแต่งตัวเหมือนเธอออกมาจากหนังมนต์รักลูกทุ่ง คือกางเกงขาบาน เสื้อผ้าสีสดใสดอกโต ๆ ร้องเท้าส้นตึก ผมยาวเรียบรวบตึง
แล้วไม่รู้ว่าเธอไปหาจักรยานผู้หญิงมาจากไหนใช้ขี่ไป-กลับจากบ้านมาโรงเรียน เวลาขึ้นขี่แกจะขึ้นแบบกุลสตรี แบบที่ผมเคยเห็นสาวไทยรุ่นก่อนเขาทำกัน
การขึ้นขี่แบบกุลสตรีก็คือการยืนอยู่ข้างซ้ายจักรยาน เอาเท้าซ้ายวางบนบันไดด้านซ้าย ใช้เท้าขวาค่อย ๆ ไถรถไปข้างหน้า ยืดตัวตรง พอได้จังหวะก็ค่อย ๆ ชักเท้าขวาข้ามไปวางที่บันไดขวา ยืดตัวขึ้นวางก้นอย่างช้า ๆ บนอานจักรยานอย่างนิ่มนวลสง่างาม และถ้าบางวันแดดร้อนแกก็จะกางร่มด้วยมือนึง สะดุดตามาก
มีสาวรัสเซีย 1 คน ชื่อ Helena Nikitenko อายุ 18 ปี มาจากมอสโคว์ ผมเห็นเธอทีแรกมันน่าทึ่งมาก ฝรั่งผมทองทำไมต้องมาเรียนภาษาอังกฤษด้วยวะ ผมก็เลยเอ็นดูเป็นพิเศษ
ภาพแรก สาวรัสเซีย(Elena)-หนุ่มไทย-หนุ่มญี่ปุ่น(Hiroshi)-สาวญี่ปุ่น(Akiko) ช่วงที่เรียน General 1 ภาพที่สอง = before  ภาพที่สาม = after สาวรัสเซียคนเดิมแต่น้ำหนักเพิ่ม
ผมพยายามเข้าไปนั่งใกล้ ๆ เธอตอนเรียนอยู่บ่อย ๆ ครั้งนึงได้จับคู่ไปฝึกพูดที่หน้าชั้นเล่นบทเป็นสามีภรรยากัน “.... I love you, I want you ….” ชื่นใจไอ้เฒ่าเป็นยิ่งนัก
เธอมาเรียนแค่ 3 เดือนก็กลับไปตอนเดือน กันยายน 37 โดยแบกน้ำหนักกลับไปเพียบจากการเลี้ยงดูของ homestay ที่เธออยู่
อนิจจา เหลือแค่ลายมือ
เราแลกที่อยู่กัน ผมได้ที่อยู่ที่รัสเซียของเธอ และให้ที่อยู่ที่บ้าน Morton ให้เธอ หลังเธอกลับไม่นานผมก็เขียนจดหมายไปหา แต่ก็เงียบหาย ทั้งที่เธอเคยบอกว่าจะเขียนจดหมายถึงผมอย่างน้อยปีละครั้ง อดสานสัมพันธ์กับสาวผมทองเลย
[------ครูและเจ้าหน้าที่ของนอมันบี้------]
ครูคนแรกที่สอนวิชาแรก เป็นชั้น General ที่เริ่มปูพื้นฐานแบบสบายๆ มีกิจกรรมสนุก ๆ เป็นครูที่นักเรียนไทยสนิทด้วย
ครู Andrew Jackson
แกอายุราว 32 ปีในตอนนั้น จำได้แต่ว่าสอนสนุก แต่งตัวง่าย ๆ ใส่กางเกงสแล็กเรียบ ๆ ใส่เสื้อยืดคอกลมที่คอย้วยบ้างไม่ย้วยบ้างมาสอน ถ้าวันไหนแต่งตัวหล่อมาแสดงว่าแกมีงานอื่นไปต่อ
รูปแรก: วันที่มอบกรอบรูปที่มีลายเซ็นนักเรียนที่เรียนกับเขา  รูปสอง: Andrew & Lucy ถ่ายที่บ้านของเขา
Andrew มีลูกสาวสองคน คนโตราว 6 ขวบชื่อ Anna คนเล็ก 3 ขวบครึ่งชื่อ Lucy พูดเก่งทั้งคู่ คนเล็กซนมาก พ่อเขาพามาโรงเรียนบ่อย ๆ พวกเขาชอบบอกพ่อเขาว่าจะมาหา Arrtit ไม่รู้ว่าติดใจอะไร
ในวันที่ผมเรียนจบชั้นที่ Andrew สอน เด็กสองคนนี้เขามาไม่ได้ก็ยังฝากการ์ดอวยพรมาให้ด้วย ในการ์ดเขียนด้วยลายมือของ Anna ตัวโต ๆ
จดหมายจาก Anna Jackson วันที่ผมเรียนจบชั้น General
ครู Maureen Powles
ครูคนต่อไปสอนชั้น EAP – English for Academic Purpose
EAP เป็นชั้นเรียนที่เข้มข้น การบ้านเยอะ เรียนเน้นการสอบ IELTS
มอรีนอายุราว 50 ปี ผมขาวเด่น ดูสง่าน่าเชื่อถือ ถึงการสอนหลักสูตรนี้จะเข้มข้น แต่การเรียนกับเธอก็ไม่รู้สึกว่าเครียด
มอรีนเอาใจใส่นักเรียนดีมากทั้งในและนอกชั้นเรียน ตอนผมเรียนจบก็ได้เช่าชุดครุยไปถ่ายรูปกับมอรีนที่นอมันบี้ด้วย
ครู คริสติน่า
ครูท่านนี้จะ sensitive กับเสียงหักนิ้วมาก ตอนแรกที่ผมเผลอหักนิ้วอยู่หลายครั้ง แกก็จะหยุดสอนและเบิ่งตาโตมาทางผม ทำให้เครียดยิ่งกว่าการเรียนเสียอีก
ครู Michael Clutterbuck
ผมขาว ใส่แว่น ร่างสูง ท้วม ท่าทางเป็นครู้ครู ถ้าไปเล่นหนังก็ต้องเล่นเป็นครูเท่านั้น
ผมเคยเรียนกับแกครั้งเดียว แต่ก็ได้คำแนะนำจากแกนอกห้องเรียนหลายครั้ง
มีเจ้าหน้าอีกหลายคนที่ผมจำชื่อไม่ได้ บางคนสอนหนังสือด้วยพร้อมกับทำหน้าที่ธุรการด้วย เช่น ครู Heike น่าจะสอนและคุมห้องสมุดด้วย
อีกคนคือ Robyn M. Kindler คนนี้เป็น Director ของที่นี่ น่าจะไม่ได้สอน
Maureen, Michael, และอาจารย์ที่จำชื่อไม่ได้ พร้อมนักเรียน ERP 1 ที่เรียนก่อนหน้าผม ภาพนี้วาดโดย ปู-ศิริกุล ผู้ที่อยู่ภาพถัดไป
ส่วน “เจฟฟรี่” ที่เรารู้จัก เป็นแค่ Part-time Addmission Officer
มีคนทำความสะอาดประจำเป็นผู้ชายวัยรุ่นผมทองเกรียน นิยมใส่เสื้อลายสก็อต กางเกงยีนส์ หน้าที่ของเขาไม่ได้มีอะไรที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน
ผมเจอเขาวันแรกๆ ตอนเปิดเรียนก็เป็นที่แปลกตาที่จะเห็นหนุ่มผมทองมาทำงานถูพื้น วันนั้นเขากำลังถูพื้นอยู่ไม่ทันแห้ง ดันมีนักเรียนชายไปเหยียบพื้นบริเวณนั้น ซึ่งก็คงจะไม่ตั้งใจ ทำให้หมอนี่ฉุนแล้วก็พึมพำ ๆ กับตัวเอง
ผมอยู่ไม่ไกลแต่ได้ยินไม่ถนัด ได้ยินแต่ตอนเขาเน้นสี่พยางค์หลังได้ความว่า “... fuck’n idiot” เป็นศัพท์สูงที่ผมได้ยินตอนวันแรก ๆ เลย
เจ้าหน้าที่คนที่ติดตราตรึงใจผมมาก เป็นหนุ่มฝรั่งอายุราว 30 ปี ผมบาง มีเคราเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาสอนด้วยหรือเปล่า แต่เขาคุมห้องคอมพิวเตอร์ที่นักเรียนจะใช้ทำการบ้าน
เขามีกฎของห้องคอมพิวเตอร์อยู่ว่า ห้ามนำแผ่นดิสเกตต์ข้างนอกมาใช้ ถ้าต้องการใช้ก็ต้องผ่านการฆ่าไวรัสจากเขาก่อน เพราะช่วงนั้นไวรัสกำลังระบาด ส่วนโปรแกรมป้องกันไวรัสก็ต้องวิ่งตามให้ทัน เรื่องไวรัสนี้ผมสู้กับมันมาตั้งแต่ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เมืองไทยจนคุ้นเคยกับมัน
วันนั้นผมเผลอเอาแผ่นที่พิมพ์งานจากเครื่องผมจะมาพิมพ์ต่อที่เครื่องนอมันบี้
หนังสั้นก็พลันบังเกิด
ที่ผมเคยเห็นในหนังก็คือ เวลาฝรั่งทะเลาะกันจะขึ้นเสียงดัง ตะคอก ออกท่าทาง ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็จะออกอาการพอ ๆ กัน แรงกันไปแรงกันมา แต่พอเข้าใจกันได้ก็กอดกันเฉยเลย
ในตอนนั้นผู้ร้ายฝรั่งผมบางก็ปราดเข้ามาตะโกนใส่ผม ทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียงนี่เหมือนกับที่เคยเห็นในหนังเลย คือ เกรี้ยวกราด ระเบิดอารมณ์ เสียงดัง ตาจ้องเขม็ง ทำเหมือนผมเป็นที่ระบายอารมณ์
เขาเอาแต่ถามว่าทำไมไม่บอกเขาก่อน รู้กฎแล้วใช่มั้ย.....
ผมก็รู้ว่าผมทำผิด แต่ด้วยความเคยชินที่คนไทยเราจะไม่พูดกันรุนแรงแบบนั้น แค่พูดธรรมดาเราก็อายแล้ว ผมนี่เดือดอยู่ในใจนะ
แต่เพราะเราเป็นพระเอกฝั่งไทย ผมก็ได้แต่ขอโทษ แล้วควักนามบัตรโปรแกรมเมอร์จากที่ทำงานเก่าให้เขาดู บอกเขาว่าผมตรวจไวรัสที่แผ่นดิสก์แล้ว เขาก็หยุดฟัง คงด่าจบครบแล้ว และก็คงไม่เคยเจอคนหน้ามึนแบบผม
วันนั้นจบยังไงผมก็จำไม่ได้ .... แต่ผมไม่กอดกับมันแน่นอน
โฆษณา