7 เม.ย. เวลา 03:13 • ความคิดเห็น

ยุคสมัยแห่งความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ

ต้นปี 2025 Accenture บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกมีงานวิจัยเรื่องเทรนด์ผู้บริโภคในปีนี้ชื่อ life trend 2025
ข้อแรกของงานวิจัยนี้เลยก็คือผู้บริโภคทั่วโลกจะมีความกังวลและความไม่แน่ใจในข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากด้านต่างๆสูงขึ้นเรื่อยๆ (cost of hesitation)
ตั้งแต่มี AI ที่ฉลาดและเก่งในทุกด้านรวมถึงการทำ deep fake ปลอมภาพ ปลอมรูป ปลอมเสียง ล่าสุดปลอมสลิปใบเสร็จได้เนียนกริ๊บ เกินครึ่งของผู้บริโภคก็เลยไม่ไว้ใจในข้อมูลใดๆ ในออนไลน์ที่ได้เห็น
นอกจากเรื่อง AI เหล่ามิจฉาชีพที่มาในรูปแบบต่างๆก็เก่งและเยอะขึ้นและเนียนขึ้น แก๊งคอลเซนเตอร์ก็เป็นรูปแบบหนึ่ง โทรศัพท์เบอร์ไม่คุ้นที่รับกันเป็นปกติก็กลายเป็นความอันตรายในยุคปัจจุบัน ความฉ้อฉลในการหลอกมากันทุกรูปแบบ SMS ลิ้งค์ที่ส่งมาคลิกพลาดก็โดนดูดข้อมูล เผลอนิดหน่อยก็โดนกันง่ายๆ
ไม่ได้ทำอะไรเลย ซักพักก็จะมีบริษัททำข้อมูลส่วนบุคคลของเราหลุดเป็นระยะๆ หลุดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรกันอีก
งานโฆษณาประชาสัมพันธ์ ยิงแอด พูดแต่ด้านดีเกินจริงของสินค้าก็เกลื่อนเพจ เกลื่อนติ๊กต่อก อะไรจริงอะไรปลอมดูยากมาก ซื้อของออนไลน์แล้วไม่ตรงปกคือเป็นเรื่องปกติ หลายครั้งไม่ส่งแล้วเชิดเงินหนีก็บ่อย ทำให้ทุกคนมีสมมติฐานว่าไม่เชื่อไว้ก่อน ต้องตรวจ ต้องเช็ค ต้องถามเพื่อนจนกลายเป็นวิถีการบริโภคในสมัยนี้ไปแล้วเช่นกัน
นอกจากในมุมของผู้บริโภคแล้ว ชีวิตของเราทุกคนก็ยังมีมุมอื่นอีกนอกจากเป็นผู้บริโภค ในมุมที่เป็นพลเมือง เอ๋ นิ้วกลม นักเขียนชื่อดังเพิ่งไปพูดในงานสัมมนาแห่งหนึ่งและตั้งข้อสังเกตของยุคสมัยว่าในโลกใบใหม่ที่ผันผวนนี้นั้น โลกไม่มีเป้าหมายร่วมกันแบบเดิมอีกต่อไป
เอ๋พูดก่อนทรัมป์จะประกาศมาตรการภาษีหยุดโลกซึ่งพอทรัมป์ประกาศก็ยิ่งตอกย้ำถึงยุคแห่ง “ตัวใครตัวมัน” ตั้งแต่ระดับประเทศ แต่ละประเทศมีเป้าหมายของตัวเอง ตอบโต้กันไปมา ไม่ไว้วางใจกันอีกต่อไป
ในระดับปัจเจก เอ๋วิเคราะห์ว่าแต่ละคนก็ไม่ได้อยู่บน grand narrative (เรื่องเล่าใหญ่) ร่วมกันอีกไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ศาสนา เรื่องที่เห็นพ้องต้องกัน เพราะเราดู youtube คนละช่อง tiktok ก็เลือกแต่ content ที่เราสนใจให้ดู เรื่องน่าตกใจระดับแผ่นดินไหวตรงโน้นเป็นแค่เสียงกระซิบเบาๆของรุ่นนี้
อัลกอริทึ่มของโซเชียลก็ปั่นให้ความรุนแรงของแต่ละขั้วแรงขึ้นเรื่อยๆ เราจะเห็นเฉพาะกลุ่มความเชื่อเดียวกันและตอกย้ำให้เกลียดชังคนเห็นต่างจนไม่ไว้เนื้อเชื่อใจคนที่คิดไม่เหมือนกัน ตั้งแต่คุยกันไม่ได้จนทะเลาะและนำไปสู่ความรุนแรงกันถี่ขึ้น
ในระดับรัฐ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ผู้คนไม่เชื่อรัฐบาลอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนในยุคหลังๆ เพราะอำนาจและความมั่งคั่งนั้นกระจุกอยู่แค่คนจำนวนน้อย และเป็นกลุ่มคนที่มีข่าวเรื่องคอร์รับชั่น เรื่องผลประโยชน์ส่วนตนตลอดเวลา เห็นได้ชัดคือเรื่องโครงการคาสิโน คนกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยก็มีอยู่ แต่แม้แต่กลุ่มที่เห็นว่าคาสิโนมีประโยชน์ก็ไม่สนับสนุนเพราะคิดว่ายังไงก็จะตกไปอยู่ในมือกลุ่มทุนใหญ่พรรคพวกเดียวกัน จะชี้แจงยังไงก็ป่วยการ ผู้คนพร้อมที่จะ “ไม่เชื่อ” รัฐไม่ว่ารัฐบาลไหนไปก่อนนานแล้ว
1
ความ “ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ” ในระดับรัฐก็ยิ่งทำให้เวลาเกิดวิกฤติที่ต้องการความร่วมมือจากคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำเช่นการกระตุ้นการบริโภคภายในเพราะเจอเรื่องภาษี ชวนกันให้ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ เหมือนสมัยก่อนก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้ารัฐบาลจะรณรงค์ก็จะเกิดกระแสต้านว่าผลประโยชน์จะตกไปอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่อีก เป็นความไม่เชื่อที่หยั่งลึกและไม่เกี่ยวกับเหตุและผลของแต่ละสถานการณ์เลยด้วยซ้ำ
ยุคแห่งความไม่เชื่อ ไม่ไว้ใจ และความหวาดระแวง ของผู้คนที่เกิดขึ้นในทุกระดับของกิจกรรมทางสังคมนั้น ทำให้สิ่งที่มีค่าที่สุดในยุคสมัยนี้คือ “trust” หรือความไว้วางใจที่หาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าความไว้วางใจต่อคนรอบตัว สิ่งที่เจอ ที่เห็น หัวหน้างาน ต่อบริษัทที่ทำงาน ต่อแบรนด์ หรือต่อผู้นำในระดับประเทศ
Trust นั้นไม่ใช่อยู่ดีๆ จะได้มาแถมหายไปง่ายมาก เหมือนมีใครเคยบอกว่า Trust is not given, but earned ต้องแสดงให้เห็น ตอกย้ำและสร้างอย่างสม่ำเสมอ และยิ่งที่ trust นั้นหายากและคนเชื่อใจอะไรยากขึ้นเรื่อยๆ Trust ยิ่งน่าจะเป็นของที่หายากและมีคุณค่ามากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด
เมื่อโลกเป็นโลกที่ไม่มีใครไว้เนื้อเชื่อใจกันง่ายๆอีกต่อไป ใครที่ยังมีคนเชื่อ แบรนด์ไหนที่ยังพออยู่ในใจผู้บริโภคถึงคุณภาพและบริการก็ต้องรักษากันสุดชีวิต ความผิดพลาด การคิดเอาเปรียบ คิดไม่ซื่อแม้แต่นิดก็ทำลายแบรนด์กันได้ง่ายๆ
ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตรงไปตรงมา ตรงปกอย่างสม่ำเสมอ สัญญาอะไรก็ต้องทำให้ได้เท่ากับหรือมากกว่า ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะค่อยๆสร้างความไว้วางใจกันได้ในระยะยาว ความจริงใจต่อผู้บริโภคก็เลยจะไม่ใช่แค่คำพูดสวยๆอีกต่อไป แต่จะต้องเป็น DNA ขององค์กรให้ได้เพราะผู้บริโภคอ่อนไหวและรู้สึกได้ง่ายมากๆในเรื่องนี้
Trust จึงเป็นสกุลเงินที่มีค่าที่สุดของเรา ถ้าเป็นแร่ก็เป็นแร่ระดับ rare earth ที่หายากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำองค์กร แบรนด์ หรือรัฐบาล ก่อนจะริเริ่มทำอะไร ต้องการให้ใครสนับสนุนในเรื่องใดๆ ต้องเริ่มจากการสร้าง trust เป็นพื้นฐาน ยิ่งเรื่องยากยิ่งเรื่องใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งต้องกลัดกระดุมเม็ดแรกให้ได้ก่อน ก็คือ trust
ไม่มี trust ก็ไม่สามารถขับเคลื่อน ไม่สามารถชักชวนใครได้อีกในยุคแห่งโลกที่ไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันที่เป็น new normal ไปแล้วในวันนี้
โฆษณา