11 เม.ย. เวลา 04:24 • นิยาย เรื่องสั้น
มหาวิทยาลัยโมนาช

จากบ้านหินกองสู่ Clayton #12/14

[------ไม่ต้องฝัน ผมเจอหิมะแล้ว-----]
ถือว่าเป็นเรื่องสุดยอดแล้วสำหรับผม ผมได้ไปสัมผัสหิมะสามรอบ เป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดเพราะใฝ่ฝันมานานจากการที่ได้ดูแต่ในหนัง
[------หิมะแรก------]
ครั้งแรก 7 สิงหาคม 37 อาจารย์เดชาเป็นคนจัดในนามสมาคมอะไรซักอย่าง
เช้าวันนั้น ผมเดินไปกับอ้อยจากบ้านที่ถนน Morton ไปขึ้นรถบัสที่ Monash Homemaker Center ที่ห่างจากบ้านเรา 2 กม. รถออก 7.30 น. คนเต็มรถทั้งคนไทยและคนต่างชาติที่เกือบทั้งหมดเป็นคนเอเชีย มีพวกนอมันบี้หลายคน
รถมุ่งหน้าไปยัง Mount Baw Baw ที่อยู่ห่างราว 160 กม. สักพักใหญ่พอรถไต่ขึ้นเขาทีละน้อยผมก็เริ่มเห็นเม็ดสีขาวสักปลายนิ้วก้อยปลิวร่อนลงมา ผมได้แต่กรี๊ดอยู่ในใจ พวกคนในรถส่งเสียงตื่นเต้นกันอึงรถ แต่ผมนั้นเก็บอาการไว้นะ
แล้วรถก็จอดเพื่อหยุดเอาโซ่มายึดล้อรถเพื่อให้เกาะหิมะได้ ไม่นานก็เดินทางต่อ
พอลงรถไปปุ๊บก็หนาวจนสะดุ้งทันที เหลือบไปเห็นป้ายไฟสีแดงบอกอุณหภูมิตอนนั้นคือ -4 องศาเซลเซียส
อัยยะ.... ไม่นึกว่าจะหนาวขนาดนี้ ชุดก็เตรียมมาไม่พอ คิดว่าใส่เต็มที่แล้วจะอยู่ได้สบาย คือ ชั้นในสุดใส่ชุดลองจอน – Long John ที่เป็นผ้าทอเก็บความร้อน มีถุงมือหนังแบบใช้เล่นกอล์ฟ เสื้อกันหนาวหนัง, หมวกไหมพรม ซึ่งมันก็ช่วยได้บ้างที่ลำตัวช่วงบน
จุดที่โดนโจมตีหนักก็คือมือที่ถุงมือหนังบางๆ เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ก็ยังดีที่เอามือซุกในเสื้อได้ แต่ที่แย่สุดคือเท้าทั้งสองข้างที่สวมแค่ถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบธรรมดาที่ใส่ไปเรียน ทำให้มันหนาวจนปวดเท้า
เที่ยวหิมะครั้งแรก ที่ Mount Baw Baw  หนาวววววว
ด้วยความที่เห่อกับหิมะมากทำให้เกิดความอดทนมาก ช่วงนั้นทางคนจัดทริปเขาก็ให้เราแยกย้ายกันไปตามใจชอบ บางคนก็ไปเช่าชุดและอุปกรณ์สกีมาเล่น ส่วนผมก็เดินถ่ายวิดีโอไปเรื่อย ๆ คนเดียว แล้วก็ได้ของเล่น
มันเรียกว่า Toboggan ซึ่งเด็ก ๆ นิยมเล่นกัน มันเป็นแผ่นพลาสติกหนาราว 5 นิ้ว รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าประมาณ 20 x 40 นิ้ว มีเชือกไว้จับด้านข้างหรือด้านหน้า
Toboggan
ผมก็ชำเลืองดูเด็ก ๆ ว่ามันเล่นกันยังไง มันก็ง่ายแบบเด็ก ๆ น่ะแหละ แค่เดินไปหาเนินสูงเท่าที่เราเดินไหวแล้วก็นั่งลงบนไอ้แผ่นนี้แล้วก็ปล่อยให้ไหลลงมา เด็ก ๆ มันก็เฮฮาเล่นกันเป็นกลุ่ม ผมก็เล่นอยู่คนเดียว มือนึงจับเชือก อีกมือนึงก็จับกล้องวิดีโอถ่ายไปด้วย
กล้องวีดีโอโดนหิมะกระเด็นเข้าใส่ตลอด จนกระทั่งน่าจะถึงจุดที่มันเย็นมากจนเครื่องไม่ยอมทำงานมันแล้วดับไป ผมก็เลิกถ่ายแล้วก็ได้เวลากลับ กลับถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่ม
[------ครั้งที่สอง 27 กันยายน 37 – หิมะซ้วยสวย------]
ครั้งนี้จัดโดยมิตรสยาม มีคนไทยไปเป็นส่วนใหญ่ ที่เหลือก็จะเป็นพวกนอมันบี้ที่เป็นเพื่อนที่เรียนภาษาด้วยกัน จากบทเรียนคราวที่แล้ว คราวนี้ผมจะไม่ให้พลาด
ผมเข้าเมืองไปซื้อชุดสำหรับสกีที่เป็นเสื้อและกางเกงใยเก็บความร้อน ซื้อรองเท้าบุใยหนา ซื้อถุงเท้าเก็บความร้อน ซื้อถุงมือสำหรับสู้หิมะได้ เสียไปร่วม 4,000 บาท
วันนั้นผมตื่นตั้งแต่ตี 4 นอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วยังหิ้ววิทยุขนาดใหญ่มีเครื่องเล่น CD และเทปด้วย พร้อมกับกล้องวิดีโอตัวเดิม
รถออกหน้านอมันบี้เวลา 6 โมงเช้า แวะกินอาหารเช้าที่ Mansfield เดินทางถึง Mount Buller ราว 10 โมงเช้า อากาศก็หลัว ๆ ไม่ค่อยมีแดด
พวกเราเข้าพักที่ Alpine Lodge ซึ่งเป็นของโมนาชที่เราจองกันมาแล้ว พอได้เวลา 11 โมงก็จะมีการสอนการเล่นสกีเบื้องต้น พวกเราก็ไปเช่าอุปกรณ์สกี ซึ่งบางคนก็เช่าครบชุดทั้งเสื้อกางเกง, รองเท้า และไม้สกี ส่วนผมเช่าแต่รองเท้าสกีและไม้เท่านั้น
แล้วเราก็ไปรวมตัวกันที่ลานหน้าอาคาร มีเจ้าหน้าที่มาสอนการเล่นสกีแบบเบื้องต้น พวกเราก็แถ ๆ ไถ ๆ กันแถวลานหิมะแถวนั้นอยู่แป๊บนึงแล้วก็แยกย้าย ผมก็แยกมาเล่นคนเดียว
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ผมก็ดันขึ้นไปนั่งบนกระเช้านั่งสำหรับนั่งขึ้นไปเนินเขาที่อยู่สูงขึ้นไปเพื่อจะสกีลงมา มันเป็นที่สำหรับคนที่เล่นเก่งแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเริ่มหัดมันจะมีกระเช้าขึ้นไปแบบไม่ค่อยสูงแยกเป็นอีกกระเช้าหนึ่ง
การที่เราเสียเงินเช่าอุปกรณ์มันจะมาพร้อมกับการสอนเบื้องต้น และสามารถขึ้นกระเช้าโดยไม่คิดเงิน แต่ถ้าเราเอาอุปกรณ์ไปเองจากบ้าน เราก็สามารถเล่นได้ แต่การขึ้นกระเช้าเราต้องเสียเงิน
ด้วยเพราะมันเป็นของแถม ผมก็เลยไม่คิดอะไรมาก พอขึ้นไปแล้วมันก็ค่อยๆ สูงขึ้น คนด้านล่างที่กำลังสกีอยู่ก็น้อยลงเรื่อย ๆ และก็มองไม่เห็นพวกที่มาด้วยกันแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งขึ้นไปสุดทาง ถ้าเป็นพวกเซียนที่ขึ้นมาเล่นระดับนี้เขาจะกระโดดจากกระะเช้าลงพื้นเอง กระเช้าก็จะเลื่อนไปเรื่อย ๆ
แต่ตอนนั้นผมยึก ๆ ยัก ๆ ทำอะไรไม่ถูก มันสูงราว 2-3 เมตร ไม่รู้ว่าจะโดดดีมั้ยในขณะที่กระเช้ามันก็เลื่อนไปเรื่อย ๆ กำลังจะวกกลับลงข้างล่าง จนมีเจ้าหน้าที่ ๆ คุมเครื่องเข้ามาถามว่าเป็นไรทำไมไม่โดด ผมก็อึกอัก ภาษาอังกฤษก็ยังไม่เก่ง ทำอะไรก็ไม่ถูก เขาเลยต้องหยุดกระเช้าให้ผมลง กระโดดลงมาตั้งสติพักนึง
แล้วก็เริ่มทำตามที่เรียนมา แรก ๆ ก็ไปได้ไม่กี่เมตรแล้วก็ล้ม ผ่านไปน่าจะเป็นสิบนาทีก็เริ่มทรงตัวได้ แต่เลี้ยวเมื่อไหร่ก็ล้ม เอาวะ ไม่ต้องเลี้ยวก็ได้ แล้วก็เริ่มไถลงเนินตรงไปเรื่อย ๆ
มันก็เหมือนรถของเล่นที่เราปล่อยไหลลงเนินแหละ ความเร็วมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่กี่วินาทีผมก็ใจสั่น ไม่ไหวแล้ว ล้มตัวมันเลย
ตลอดทางลงจะมีเสาของกระเช้าเป็นระยะ แต่ละโคนเสาเขาจะมีนวมหุ้มเอาไว้ น่าจะไว้กันกระแทก ส่วนข้างทางเป็นต้นไม้ จะมีตาข่ายบาง ๆ สีส้มกั้นไว้ ที่ดูเหมือนกั้นไว้บอกเขตเฉย ๆ ชนเมื่อไหร่ก็ขาดทะลุไปชนต้นไม้แน่
ด้วยความเร็วที่ลงมาน่าจะมีความเสี่ยงถึงคอหัก ทำให้ผมต้องล้มแบบยุทธวิธีไปอีกสองรอบเพื่อประคองให้ถึงด้านล่าง จนล้มรอบที่สามที่คนเริ่มเยอะขึ้นก็มีฝรั่งสองสามคนเลี้ยวปร๊าดเข้ามาดูผม ถามว่าเป็นไรมั้ย
เอนเอกเขนกเหนือ หิมะนุ่มสนามงาม ปุยฝอยละล่องตาม อากาศเยือกยะเยียบหนาว พลาดล้มคะเมนหก น้ำตาตกเห็นดาวพราว หมู่ฝรั่งทั้งหนุ่มสาว ห่วงอยากรู้ Are you OK?
คนแถวนั้นเขาไม่ล้มกันแบบนี้ ถ้าล้มหมายถึงว่าอาจจะบาดเจ็บ พอผมบอกไม่เป็นอะไรเขาก็ไป
ของแถมแบบนี้รอบเดียวพอแล้ว...
สาวๆ ที่ไปด้วยกันก็จะเกาะกลุ่มถ่ายรูปกัน ผมก็ตามไปถ่ายด้วย
เย็น ๆ เข้าที่พักมีอะไรเลี้ยงกันจำไม่ได้แล้ว ก็ไม่น่าจะพ้นอาหารไทยที่เราเริ่มกินกันราว 6 โมงเย็น
ภายในห้องอันอบอุ่นของ Alpine Lodge วันนั้นดูเหมือนจะมีกลุ่มอื่นเป็นฝรั่งนักศึกษาของโมนาชมาพักอยู่ด้วย แต่พวกเขาก็ถูกกลืนหายกลายเป็นชนกลุ่มน้อยเพราะเจอกับพวกเราที่คุยกันเซ็งแซ่ประสานกับเสียงของ อัสนี-วสันต์, ใหม่-เจริญปุระ กระหึ่มห้องโถง
พวกเราดิ้นกันบ้าง บางกลุ่มเล่นไพ่ บางกลุ่มนั่งคุยกินเหล้า ผมก็นั่งคุย ได้เพื่อนใหม่ คือ อ้อย-รุ่งรัศมี บุญดาว ตอนนั้นเขาเรียน RMIT อ้อยจะมาร่วมกิจกรรมกับพวกมิตรสยามบ่อย คืนนั้นผมเข้านอนตอนเที่ยงคืน
ผมตื่น 8 โมงเช้าในวันรุ่งขึ้น ตื่นมากินไข่ต้มแล้วแต่งชุดเดิมออกไปเดินเล่น วันนี้แดดดีมาก ท้องฟ้าสีฟ้าสด ต้นไม้อวดใบที่มีหิมะคลุมอยู่ไม่มาก หิมะเริ่มละลายทำให้เห็นบรรดาบ้านพักต่าง ๆ โผล่ออกมาให้เห็นสวยเด่นชัดกว่าเมื่อวานด้วยการที่มีแดดจัด
แต่ผมพลาดอีกแล้ว....
แสงสะท้อนของหิมะมันจ้าจนแสบตามาก น้ำตาไหลพราก ๆ ผมต้องหลับตาอยู่พักนึงแล้วตัดสินใจหยีตาจนแทบจะมิด ค่อย ๆ เดินฝ่าหิมะไปยังร้านอุปกรณ์สกี เพื่อหาซื้อแว่นกันแดด
เนื่องจากผมใส่แว่นสายตาจึงใช้แว่นกันแดดธรรมดาไม่ได้ ต้องเป็นแว่นที่ครอบแว่นสายตาอีกทีแบบ snorkel ที่แพงถึง 80 AUD แว่นแบบนี้ถ้าผมซื้อในตัวเมืองมันจะถูกกว่านี้เยอะ
ก่อนหน้านี้ ผมมักจะคิดว่าแว่นกันแดดที่เขาใส่กันมันก็แค่ใส่เอาหล่อเท่านั้น อยู่เมืองไทยไม่ว่าแดดจะแรงแค่ไหนก็ไม่เคยทำให้น้ำตาไหลแม้แต่น้อย อันนี้เรียกว่าบทเรียนราคาแพงก็ว่าได้
พอได้แว่นก็เดินถ่ายวิดีโอบ้าง ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆ บ้าง แล้วพวกเราก็กลับกันตอน 6 โมงเย็น แล้วก็พบว่า น้องเล็ก-อารีรัตน์ นัยวัฒน์ เด็กกำลังห้าว เข่าหลุดเพราะเล่นสกีในตอนกลางวัน
ถ้าผมเป็นข่าวบ้างก็คงเป็นเรื่องคอหลุดเมื่อวันที่ผ่านมา
รถไปส่งพวกเราที่นอมันบี้ตอน 4 ทุ่ม แล้วก็ต้องไปส่งน้องเล็กที่บ้านด้วย ทางเจ้าของบ้านที่เล็กอยู่เขาก็พาเข้าโรงพยาบาลในคืนนั้นเลย
น้องเล็กออกจากโรงพยาบาลมาไม่นานเท่าไหร่หมอก็นัดผ่าตัด วันก่อนผ่าตัดหนึ่งวันเล็กก็ยังมาว่ายน้ำที่ “บ้านลับแล” ของโท-สกล อีกด้วย พลังเยอะมั้ยล่ะ
4 ทุ่มกว่า ผมกับอ้อยถึงบ้านได้แป๊บเดียว “ตุ๊กใหญ่-พอตา” ก็มาเรียกขอนอนด้วย เพราะเข้าบ้านไม่ได้ ทำให้ตาสว่างกัน คุยไปคุยมาจนตี 2 ถึงได้นอน
[------หิมะเบา ๆ ครั้งที่สาม – Mount Buller------]
6 กรกฎคม 38 เช้ามืด พวกเรามาพบกันที่ South East Flat เช่ารถตู้สองคัน คันที่ผมนั่งมีแอ๊ดเป็นคนขับ อีกคันขับโดย”ชิง” (คนจีน) พวกที่ไปทริปนี้มี แอ๊ด, ตุ๊กเล็ก, แซลลี่, เมย์, โน, และสุธรรม น่าจะมาจาก ECC พร้อมกับพวกอีก 2 คน, และมีชาวต่างชาติที่จำไม่ได้อีกรวมเป็น 15 คน
ก่อนเดินทาง แอ๊ดไม่รู้ว่าไปได้ข้อมูลมาจากไหน เขาบอกว่าวันนั้นหิมะหนา 50 ซม.
ระหว่างทางเราแวะกินอาหารสายที่ Mansfield ตอนราว 9.10 น.
พวกเราไปถึง Mount Buller เกือบเที่ยง ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้วเลยไม่ตื่นเต้น คราวนี้เสื้อผ้าแว่นตามาครบ ก็เดินเล่นถ่ายรูปไปมา แล้วกลับมาที่พักกินมาม่า
กลางคืนมีเล่นไพ่กัน คืนนี้น่าจะค้างที่ Alpine Lodge ของ Monash เหมือนครั้งที่แล้ว
ตื่นเช้ามากินมาม่าแล้วเดินถ่ายรูปอีกแล้ว เดินทางกลับราว 17.30 น.
โฆษณา