7 เม.ย. เวลา 08:14 • ประวัติศาสตร์

เมื่อ “แพะรับบาป“ ต้องหนีไปโดดเดี่ยวยังเกาะเล็กๆ เป็นเวลานับสิบปี ก่อนจะต้องสู้กับอำนาจรัฐ

“อัลฟองส์ เลอ กัสเตลอยส์ (Alphonse Le Gastelois)“ ต้องอาศัยอยู่เพียงลำพังบนหมู่เกาะเล็กๆ ในแถบปะการังแถวช่องแคบอังกฤษเป็นเวลากว่า 15 ปี
และตัวเขาก็เหมือนถูกความโดดเดี่ยวกัดกลืนจนเปลี่ยนแปลงไป
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
อัลฟองส์เกิดบนเกาะเจอร์ซีย์เมื่อปีค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) และเป็นที่รู้จักในชุมชนในฐานะของชายแก่ที่เงียบๆ สันโดษ เก็บตัว ไร้พิษภัย ดูไม่ค่อยเต็มเท่าไร
อัลฟองส์ เลอ กัสเตลอยส์ (Alphonse Le Gastelois)
แต่แล้วในต้นยุค 60 (พ.ศ.2503-2512) ชีวิตของอัลฟองส์ก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อได้เกิดเหตุวิตถารที่มีชายปริศนาเข้าจู่โจม ทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงและเด็กหลายคนบนเกาะ
ชายผู้นั้นสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า และมักจะลอบเข้าไปในบ้านต่างๆ ทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิงและเด็ก เป็นที่ขนานนามในฉายาว่า “อสูรร้ายแห่งเจอร์ซีย์ (Beast of Jersey)”
อัลฟองส์คือคนแรกๆ ที่ถูกสงสัย ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่ด้วยความที่เก็บเนื้อเก็บตัว ดูไม่ค่อยเต็ม ทำให้หลายคนพุ่งเป้ามาที่เขา
อสูรร้ายแห่งเจอร์ซีย์ (Beast of Jersey)
สก็อตแลนด์ยาร์ดได้ทำการสอบปากคำอัลฟองส์เป็นเวลานานกว่า 14 ชั่วโมง และมีการค้นบ้านของเขา ก่อนจะปล่อยตัวอัลฟองส์ไปโดยไม่มีการแจ้งข้อหา
แต่ถึงตำรวจจะไม่ได้ตั้งข้อหาหรือจับกุม แต่ประชาชนคนอื่นๆ ต่างก็ตัดสินอัลฟองส์ไปแล้ว เวลาอัลฟองส์ไปไหนมาไหน ผู้คนก็จะหวาดกลัว ขว้างปาหินใส่เขา หน้าต่างบ้านของเขาก็ถูกทำลาย ชื่อเสียงของอัลฟองส์ก็ถูกหนังสือพิมพ์และชุมชนเอาไปพูดเสียๆ หายๆ จนชื่อเสียงป่นปี้
1
เมื่อทุกอย่างดูสิ้นหวัง อัลฟองส์จึงตัดสินใจจะหนีไปอยู่ที่อื่น
ในปีค.ศ.1961 (พ.ศ.2504) อัลฟองส์ได้ออกไปจากเจอร์ซีย์ และย้ายไปยังเกาะเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างจากเจอร์ซีย์ออกไปประมาณ 11 กิโลเมตร
เกาะที่อัลฟองส์ไปอาศัยนั้นเป็นเกาะร้าง ไร้ผู้คน มีเพียงแค่ชาวประมงแวะเวียนมาบ้างประปรายเท่านั้น
อัลฟองส์อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้โดยปราศจากเทคโนโลยี ไม่มีเครื่องทำความร้อน ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา โดยในฤดูหนาว อัลฟองส์ก็ต้องเอาผ้าห่มมาคลุมโต๊ะและจุดเทียนหรือตะเกียงไว้ใต้โต๊ะเพื่อคลายหนาว ส่วนอาหาร ส่วนมากก็คือสาหร่าย ปลา และกระต่ายที่พบเจอบนเกาะ
อัลฟองส์อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้เพียงลำพังเป็นเวลานานกว่า 15 ปี หลีกเลี่ยงการพบเจอผู้คน อาศัยอยู่อย่างสมถะโดยมีรายได้เล็กน้อยจากการช่วยดูแลความสะอาดกระท่อมในชุมชนใกล้เคียง
สมบัติของอัลฟองส์ก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง รวมทั้งวิทยุทรานซิสเตอร์ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีเดียวที่มี และที่มีก็ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง แต่เพื่อฟังพยากรณ์อากาศ
อีกหลายปีต่อมา อัลฟองส์จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เนื่องจากอสูรร้ายแห่งเจอร์ซีย์ได้ลงมืออีกครั้ง และในปีค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) จึงมีการจับกุมตัวอสูรร้ายแห่งเจอร์ซีย์ได้ เป็นชายที่มีนามว่า “เอ็ดเวิร์ด ไพส์เนล (Edward Paisnel)”
อัลฟองส์สามารถกู้ศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของตนกลับคืนมาได้ หากแต่เขาก็ยังไม่กลับเจอร์ซีย์ เนื่องจากหลังจากใช้เวลานับสิบปีเพียงลำพัง ก็ทำให้เขากลายเป็นคนที่สันโดษอย่างสุดขีด ไม่ต้องการจะยุ่งกับใคร และมองว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆ ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกแล้ว
เอ็ดเวิร์ด ไพส์เนล (Edward Paisnel)
และเกาะเล็กๆ แห่งนี้ก็กลายเป็นบ้านของอัลฟองส์ไปแล้ว
ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) ชื่อของอัลฟองส์ได้ปรากฎลงในพื้นที่สื่ออีกครั้ง เมื่ออัลฟองส์ออกมาต่อต้าน ไม่ยอมรับการที่ราชสำนักของ “สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (Elizabeth II)” ทรงอ้างสิทธิครอบครองและมีอำนาจอธิปไตยในเกาะที่อัลฟองส์อาศัยอยู่ โดยอัลฟองส์อ้างว่าไม่มีใครอาศัยอยู่บนเกาะนี้นอกจากตน และตนก็อาศัยอยู่บนเกาะนี้มานานเกินสิบปีแล้วด้วย
2
อัลฟองส์ออกมากล่าวอ้างถึงกฎหมายโบราณของชาวนอร์มันที่มีมาตั้งแต่ค.ศ.911 (พ.ศ.1454) ซึ่งระบุว่าหากใครครอบครองเกาะเป็นเวลานานเกินสิบปี ก็จะสามารถอ้างสิทธิครอบครองเกาะนั้นได้ โดยอัลฟองส์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
“ยังไม่มีใครครอบครองเกาะ ยังเป็นสถานที่อิสระให้ทุกคนมาอ้างสิทธิได้ และผมก็เป็นเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ที่นี่ ผมอยู่ที่นี่มากว่า 12 ปีแล้ว และก็ยังไม่พบเจอใครที่จะมาบอกว่าผมกำลังอาศัยอยู่บนที่ดินของเขา หรือต้องจ่ายค่าเช่าหรือภาษี ดังนั้น เกาะนี้ไม่มีเจ้าของ ผมคือเจ้าของ”
อัลฟองส์ยังกล่าวอีกว่าเขาจะปกครองเกาะนี้โดยกฎเพียงข้อเดียว นั่นคือ “ปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง”
1
แต่แน่นอนว่าข้อกล่าวอ้างของอัลฟองส์นั้น ทางการย่อมไม่ฟังอยู่แล้ว และอัลฟองส์ก็ต้องย้ายออกจากเกาะในเวลาต่อมาเนื่องจากอายุที่มากขึ้นและปัญหาสุขภาพ
1
อัลฟองส์เสียชีวิตในปีค.ศ.2012 (พ.ศ.2555) ด้วยวัย 98 ปี และไม่เคยได้รับคำขอโทษอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลเจอร์ซีย์
1
และทุกวันนี้ หลานสาวและญาติพี่น้องของอัลฟองส์ก็ยังคงยื่นฟ้องเพื่อหวังจะได้รับคำขอโทษอย่างเป็นทางการ
โฆษณา