ถ้ามองโดยใช้มุมเศรษฐศาสตร์มหภาคกับโครงสร้างอุตสาหกรรม ผมว่าต้องยกให้ “เกษตรกรในสหรัฐ” โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำ ถั่วเหลือง ข้าวโพด และเนื้อหมู มากกว่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
คือพอทรัมป์เปิดสงครามการค้ากับจีนเมื่อปี 2018-2019 จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากอเมริกาโดยตรง และหันไปซื้อจากประเทศอื่นอย่างบราซิล แคนาดา หรือแม้แต่รัสเซียแทน
ผลคือราคาในตลาดโลกตกลงทันที เกษตรกรในมิดเวสต์จำนวนมากที่เคยพึ่งตลาดจีนเป็นหลักต้องเผชิญภาวะล้นตลาด ขาดทุน และเป็นกลุ่มแรกที่เรียกร้องให้รัฐบาล “อุ้ม” ซึ่งรัฐบาลทรัมป์ก็อัดเงินเยียวยาไปหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในนามของ “ความรักชาติ” แต่นั่นคือการอุ้มธุรกิจด้วยเงินภาษี ไม่ใช่การแก้โครงสร้างจริงๆ
ในเชิงเศรษฐศาสตร์ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า deadweight loss — คือความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่ไม่มีใครได้ประโยชน์จริงๆ ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคต่างเจ็บตัว และทรัพยากรถูกจัดสรรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ส่วนในภาคการผลิตชิ้นส่วนหรือเทคโนโลยีจริงๆ โดนกันเป็นแถวอันนี้จริง แต่บริษัทใหญ่อย่าง Apple, Intel, HP เขายังมี margin เยอะ มีโครงข่ายผลิตทั่วโลก สามารถ re-route supply chain ได้ในระดับหนึ่ง
เทสล่าเองก็เจ็บ แต่ถ้ามองเป็น supply chain เขาไม่ได้เจอภาษีหนักเท่าพวกที่ “ส่งออกตรงแล้วโดนภาษีนำเข้าจากจีนสวนกลับมา” เพราะ core business ของเทสล่าคือรถ EV ที่ผลิตในอเมริกาขายคนอเมริกัน ไม่ได้พึ่งพาจีนเป็นตลาดหลักเท่าภาคเกษตร
ดังนั้นถ้าจะให้จัดอันดับ “ใครเจ็บสุด”
ผมว่า Elon น่าจะอยู่โซนเจ็บแรงแต่ฟื้นเร็ว
แต่เกษตรกรอเมริกันนี่คือเจ็บจริง เจ็บนาน และหลายคนไม่รอดจริงๆ ครับ
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
