11 เม.ย. เวลา 04:30 • นิยาย เรื่องสั้น
มหาวิทยาลัยโมนาช

จากบ้านหินกองสู่ Clayton #14/14

[------จะเรียนจบแล้วคร้าบบ------]
เวลาผ่านไปจนล่วงเข้าเทอมสองที่เป็นเทอมสุดท้ายของ Master of Business Systems ถ้าจบเทอมนี้ก็คือได้เป็นมหาบัณฑิตแล้ว กลับไปก็จะได้ไปเป็นพระเอกของ “บุษยมาส-ทมยันตี...” จะไม่เหมือนก็ตรงที่ไม่ได้จบรัฐประศาสนศาสตร์น่ะสิ
พออยู่ไปนาน ๆ มันก็กลายเป็นว่าหมดความตื่นเต้น มีแต่ความรู้สึกเคยชินกับชีวิตประจำวันที่วนเวียนอยู่กับการเรียนในชั้น การทำรายงาน เล่นแบดฯ เล่นเทนนิส จ่ายตลาด ทำกับข้าว เสาะหากินอาหารไทย อ่านมติชน ดูทอฝันกับมาวิน สุมหัวแต่กับคนไทย
พอกลับมาแล้วมันรู้สึกเสียดายมากเลย
ถึงแม้เทอมสุดท้ายผมจะมีปัญหาเรื่องการเงิน แต่ถ้าผมแค่นั่งรถเมล์เที่ยวที่แปลกๆ ที่ไม่ต้องใช้เงินมาก หรือคบหากับฝรั่งที่ภาษาอังกฤษดี ๆ น่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่คุ้มค่า แต่ตอนนั้นมันทำตัวเป็นกิจวัตรจนไม่ได้ดิ้นรนทำเรื่องแบบนี้เลย
เรื่องนี้ขอให้หนู ๆ ที่มีโอกาสไปเรียนเมืองนอกจำไว้นะ พยายามทำตัวให้เป็น “ฝรั่ง” เอาให้คุ้มกับการที่เราได้มีโอกาสดีกว่าคนจำนวนมากที่อยากมาเรียนเมืองนอกเหมือนเรา
[------ผลสอบเทอมสุดท้ายก็มาพร้อมหน้าร้อน------]
13 ธันวาคม 39 พวกที่เรียนรุ่นเดียวกับผมทั้งพวก Business Systems และ MBA ต่างก็ได้รับการแจ้งผลสอบครั้งสุดท้ายทางไปรษณีย์ ซึ่งผ่านกันหมดทุกคน ยกเว้นผมที่ต้องมีอุปสรรคเอาไว้ให้พุ่งชนอยู่เรื่อย
ในใบ Notification Result ที่ผมสอบไป 8 วิชาแจ้งมาว่าผมได้ P 5 ตัว, D 2 ตัว และ WH 1 ตัว ไอ้ตัวสุดท้ายนี่แหละทำให้ใจระทึก มันคือ Result Withheld ว้าวุ่นเลย.....
[------ขวัญเอ๊ยขวัญมา------]
ก่อนหน้านี้ทุกคนไปเช่าชุดครุยกันที่ตึกไปรษณีย์ของ union กันมาแล้ว ส่วนผมยังไม่ได้เช่า เพราะเจ้าตัว WH นี่แหละ จะผ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้
แวะถ่ายรูปกับ สุ-สุจิตร ข้างๆ เห็นเสี้ยวของเพื่อนๆ กำลังถ่ายรูปกัน
พวกที่สอบผ่านทั้งหมดก็นัดกันถ่ายรูปใน u. ผมก็ได้ถ่ายรูปคู่กับสุ-สุจิตร โพธิ์วิจิตร สาวที่เล่นเทนนิสเก่งกว่าผมรูปนึง เธออยู่ในชุดครุย ส่วนผมอยู่ในชุดธรรมดาโดยมีใบผลคะแนนเสียบที่กระเป๋าเสื้อ ตอนนั้นผมอยู่ในระหว่างทางที่จะไป FCIT เพื่อไปถามอาจารย์ว่าเกรด WH นี้หมายความว่ายังไง
อ.David Goh ได้มีโอกาสคุยกับแกนานราวครึ่งชั่วโมงก็วันที่ไปถามเกรดนี่แหละ
พอไปถึง FCIT ไปพบอาจารย์ David Goh ได้ความว่า เขาให้คะแนนผมไม่ทันเลยส่งผลไปก่อน จริงๆ แล้ว คะแนนที่ได้อยู่ในเกณฑ์ดี ขาดไป 2 คะแนนก็ได้ Distinction โถ.........
[------กลับมาเยือนที่เดิม------]
พวกเพื่อน ๆ ถ่ายรูปในชุดครุยกันไปแล้ววันที่ 13 ธันวาคม 39 แต่กว่าผมจะได้ถ่ายก็วันที่ 10 มกราคม 40 ห่างกันเกือบเดือน
ตอนนั้นเพื่อนหลายคนก็กลับไทยกันแล้ว วันนั้นทั้ง u. มีผมใส่ครุยถ่ายรูปอยู่คนเดียวตั้งแต่ 11 โมงเช้ายัน 4 โมงเย็น แต่ก็ดีใจที่ได้ถ่ายรูปคู่กับ Maureen ด้วย แกคงดีใจกับผมที่พยายามสอบจนได้เรียนโมนาช
ขอบคุณครับคุณครู
ชุดครุยวันนั้นดูมันประหลาด ๆ ถ้ามีเสื้อนอกสีดำก็น่าจะดูดีกว่านี้แต่ก็หาไม่ได้
อร-อิงอร, อ้อ-อัจฉรา ผู้มาให้กำลังใจหร้อมดอกไม้
ถึงวันนั้นผมจะเป็นบัณฑิตใหม่เห่อครุยอยู่คนเดียวในรัศมี 10 กิโลเมตร แต่ อ้อ-อัจฉรา และ อร-อิงอร พงษ์ชีพ ก็ยังอุตส่าห์ซื้อช่อดอกไม้มาให้ปลอบใจบัณฑิตผู้เดียวดายคนนี้
[-----แดดจ้าสดใสแต่ใจมันเศร้า-----]
ธันวาคม ปี 2539 อากาศก็ร้อนแห้ง ๆ เหมือนปีที่แล้ว และมันก็เป็นหน้าร้อนสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ Clayton บางวันอุณหภูมิสูงไปถึง 40 องศาเซลเซียส
ร้อนมากจนหญ้าแห้งตายหมด
ผมได้เที่ยวแบบฝรั่งบ้าง ก็คือการไปดูละครสัตว์ที่โรงละครสัตว์ชั่วคราว โรงละครนี้ตั้งอยู่ที่สนามหญ้าที่กำลังแห้งกรอบทางไปตลาด Springvale ค่าเข้าไม่แพงคนละเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ บรรยากาศเหมือนที่เคยดูในหนังเลย มีกระโจมสีเหลืองใหญ่ ๆ มีสัตว์มาเดินโชว์ มีนักกายกรรมโหนไปมาด้านบนกระโจม
คนดูเยอะ ดีที่ข้างในกระโจมติดแอร์
การเที่ยวแห่งสุดท้ายที่เป็น event ใหญ่ก็คือ Ford Australian Open 1996 ที่จัดที่ Melbourne Park จำวันไม่ได้ในเดือนมกราคม 40 ขณะที่อากาศกำลังร้อนจัด
Ford Australian Open 1996
ผมดีใจมากที่ได้ไปเห็นขวัญใจของผมตอนนั้น คือ Martina Hingis ภายในระยะ 10 เมตรริมสนาม ก่อนที่จะบินกลับไทยไม่กี่วัน
ก่อนกลับก็หาซื้อของฝากในเมือง ตะเวนถ่ายรูปใน u. กับบรรยากาศเหงา ๆ เพราะมันเป็นช่วงปิดเทอม แทบจะมองไม่เห็นผู้คนเช่นเคย คนไทยก็กลับไทยเกือบหมด ผมตะเวนถ่ายรูปหลายๆ แห่ง เห็นคนไม่เกิน 10 คน ถ้าดูจากนาฬิกาที่หลังคาตึก union จะเห็นว่ามันบอกเวลา 1 ทุ่ม แต่แดดยังเหลืองสวยอยู่เลย นี่ถ้าตอนนั้นฟ้าหลัว ๆ แบบหน้าหนาว ผมก็คงเศร้ามากกว่านี้
เวลา 1 ุทุ่ม ตึก union ยังเปิดให้เดินเข้าไปได้ แต่ไม่มีใครสักคน ช่วงเดือนธันวาคม เวลากลางวันจะยาว มีการปรับนาฬิกาให้เดินเร็วกว่าปกติ 1 ชั่วโมงโมงเพื่อประหยัดไฟฟ้า ที่เรียกว่า Daylight Saving (รถที่เห็นในรูป 1 คันคือรถทีมากับผม)
[-----ทำไมผมถึงมีความสุขมากที่นั่น?-----]
1. ผมก็น่าจะเหมือนทุกคนที่คิดว่าการไปเรียนเมืองนอกนี่มันทั้งโก้ในขณะเรียน และก็น่าจะทำให้มีอนาคตที่ดีขึ้น
2. การไปเรียนเมืองนอกเป็นเรื่องที่คิดว่ามันเกินเอื้อมสำหรับผม เพราะผมมีผลการเรียนที่อ่อน เงินก็ไม่มี เมื่อโอกาสมาถึงนี่มันก็สุดยอดแล้ว
3. การหมกมุ่นอยู่กับงานด้าน IT อยู่เกือบสิบปี จนกระทั่งเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท การได้พักการทำงานเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายมาก
4. การเป็นนักเรียน ที่ไม่ต้องรับผิดชอบเหมือนทำงาน การมีเงินพอที่จะอยู่ได้ราว 3 ปีโดยไม่ต้องทำงาน ทำให้ใช้ชีวิตที่นั่นโดยไม่มีความกังวล
5. การที่ไปในสถานะโสด ในช่วงอายุ 33-36 ปีที่ยังไม่แก่มาก ทำให้มีอิสระที่คิดจะชอบใครก็ได้ ขอบอกว่า เพลง “รักต่างแดน” ของสาวสาวสาวนี่มันตรงที่สุดเลยแหละ “ความรักในต่างแดนช่างแสนหวาน เอิบอาบดวงมานไม่รู้ลืม” อีกเพลงก็คือ "จากคนละฟ้า จากคนละแผ่นดิน กลับมาโบยบินข้ามไปสุดฟ้าจนได้พบกัน...." จากละคร "ยามเมื่อลมพัดหวน"
6. สภาพแวดล้อมที่มัน “เมืองน้อกกก เมืองนอก” ตั้งแต่อากาศเย็น, ดอกหญ้า Dandelion วัชพืชแสนสวย, พุ่ม Rosemary ที่ขึ้นทิ้งๆ ขว้างๆ, นกแก้วสีจัดจ้านที่บินกันอิสระ, จิงโจ้มุ้งมิ้ง Wallaby, กระต่ายป่าข้างทาง ที่บิดตูดท้าให้จับ, ฯลฯ
7. กัลยาณมิตร ตั้งแต่รุ่นพี่-รุ่นน้อง-รุ่นหลาน ที่คบแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก เกือบทั้งหมดของกลุ่ม “มิตรสยาม” รวมถึงเพื่อนที่อยู่นอกกลุ่ม ณ วันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ยังติดต่อได้ราว 40 คนนั้น เป็นของมีค่าตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา
[------อำลา------]
23 มกราคม 40 วันสุดท้ายที่นั่น
ตอนนั้นพวกผมบอกคืนบ้านเลขที่ 5/28 แล้วเพราะทุกคนในบ้านนอกจากผมเขากลับเมืองไทยไปก่อน ผมก็ไปอาศัยบ้าน 1/28 อยู่ และอาหารมื้อสุดท้ายที่นั่นคือกุ้งผัดพริกใบมะกรูด ตบท้ายด้วยองุ่น
ผมบินกลับด้วยการบินไทย เครื่องออกราวบ่ายสอง ใจหายนิดๆ
ขอบคุณสำหรับความสุขมากๆ ในช่วงสามปีที่นี่
ลาก่อน Clayton .....
โฆษณา