8 เม.ย. เวลา 11:02 • ประวัติศาสตร์

คดีฆาตกรรมอายุ 430,000 ปี และ “สัญชาตณาณดิบ“ ของมนุษย์

ในปีค.ศ.2013 (พ.ศ.2556) นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบอะไรบางอย่างในถ้ำ “Sima de Los Huesos” หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “หลุมกระดูก (Pit of Bones)”
มีการพบซากมนุษย์ในถ้ำนี้หลายร่าง โดยบริเวณที่พบนั้นมีความลึกถึง 13 เมตร ดังนั้นจึงไม่น่าใช่ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคโบราณ แต่ก็ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่านี่คือหลุมศพ
ดังนั้นที่พอจะสรุปได้ นั่นก็คือที่นี่อาจจะเป็นสถานที่ฆาตกรรมของฆาตกรต่อเนื่องรายแรกๆ ในโลก
และจากการวิจัย พบว่ามีแนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์อยู่สองแนวคิด
หนึ่งก็คือ มีการเสนอทฤษฎีว่าตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์นั้นมีสัญชาตญาณที่ดุร้าย และวิวัฒนาการต่างๆ ของมนุษย์ก็มาจากการทำสงคราม ทำร้ายผู้อื่น
แต่อีกแนวคิดหนึ่ง ก็เชื่อว่าอารยธรรมของมนุษย์เกิดจากการปรองดอง ร่วมมือกันของผู้คนในขุมชน เกิดจากความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
และการดีเบตระหว่างแนวคิดทั้งสองก็ยังดำเนินมาจนปัจจุบัน
แล้วธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกต้องคือทฤษฎีใดกัน?
เกิดอะไรขึ้นในถ้ำ Sima de Los Huesos กันแน่?
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจสอบซากกระดูกที่พบใน Sima de Los Huesos โดยมีการจำลองและประกอบจากชิ้นส่วนเล็กน้อยของกะโหลกที่พบ และพบว่ากะโหลกที่พบนั้นมีอายุกว่า 430,000 ปี
และที่น่าสนใจก็คือ เหนือดวงตาข้างซ้ายของกะโหลกนั้นมีรอยร้าว
ในทีแรก ทีมนักวิจัยก็คิดว่าอาจจะเป็นอาการบาดเจ็บจากการตกลงมากระแทก หากแต่แนวคิดนี้ก็ถูกตีตกไปเนื่องจากไม่พบสิ่งใดในถ้ำที่จะทำให้เกิดการกระแทกได้แรงเช่นนั้น นอกจากนั้น ยังไม่พบสัญญาณว่าบาดแผลมีการรักษาตัวเอง
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่รอยร้าวนี้คือสาเหตุที่ทำให้เจ้าของกะโหลกเสียชีวิต อาจจะโดนอาวุธ เช่น ขวาน หรือหอก ทำร้าย และคนทำก็น่าจะต้องทำโดยเจตนาด้วย
นอกเหนือจากกะโหลกนี้ ยังมีการพบซากร่างอีกกว่า 28 ร่างใน Sima de Los Huesos ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าร่างเหล่านี้ถูกสังหาร แต่ร่างเหล่านี้ก็ถูกโยนลงมาในหลุมหลังจากตายแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่นักวิจัยคิดก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่เมื่อ 430,000 ปีก่อน จะเกิดฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งคิดมา
เรียกว่าบรรพบุรุษของฆาตกรต่อเนื่องในยุคปัจจุบันเลยทีเดียว
และเหตุฆาตกรรมนี้ก็เกิดก่อนที่มนุษย์จะแพร่พันธุ์ไปทั่วโลกกว่า 130,000 ปี ดังนั้นจึงมีการเสนอทฤษฎีว่า บรรพบุรุษของมนุษย์นั้นมีอุปนิสัยโหดร้าย มีความเหี้ยมโหด เคยชินกับความรุนแรง
และมนุษย์ก็รับสืบต่อสัญชาติญาณนี้ต่อมาจากบรรพบุรุษ
ดังนั้น หากจะสรุปถึงธรรมชาติของมนุษย์ ก็อาจจะตีความไปที่ความรุนแรงมากกว่า หากแต่ความปรองดอง ความร่วมมือ ก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตของสังคมเช่นกัน
ความก้าวร้าวรุนแรงทำให้มนุษย์เป็นสายพันธุ์ที่ครองโลก แต่ความปรองดอง ความร่วมมือระหว่างกัน ก็ช่วยให้มนุษย์รู้จักการสื่อสาร สร้างวัฒนธรรม รู้จักการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
และในอีกหมื่นหรือแสนปีข้างหน้า บางที ความรุนแรงอาจจะกลายเป็นสิ่งที่สูญหาย
หรืออาจจะรุนแรงยิ่งกว่เดิมก็เป็นได้
มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะตอบได้
โฆษณา